16 ธันวาคม, 2552

Reflection of the (Physically) Big Fish

หายไปนานเลยกับไดอารี่ :)
ไม่มีไรมาก ก็แค่ว่าเขียนสะท้อนถึงกิจกรรมที่ได้ไปทำมา แล้วมันโดนดี ก็เลยจะเอามาลงที่นี่ด้วย :)

ก็อปมาจาก Gmail ดื้อๆ เลยละกันเนาะ

เมื่อวานได้ไปร่วมงานภาวนาของพี่ตั้ม "เมล็ดพันธุ์ภาวนา" กับเอกมาครับ ได้ไปเจอพี่โจ (โจน จันได) ตัวจริงเสียงจริงมาด้วย ตอนท้ายพี่ตั้มก็พูดสิ่งที่โดนๆ กับตัวผม และสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ก็เลยว่าจะเขียนสะท้อนมาแบ่งปันครับ

ก่อนอื่นก็ ที่ไปนี่ก็เพราะอยากไปงานอะไรทำนองนี้ ไม่อยากหลุดออกจากวงโคจรไป (ตอนไปงานรวมพลมหกรรมโค-ตะ-ระกระบวนกร อาใหญ่พูดถึงดาวฤกษ์-ดาวเคราะห์ ผมพลันนึกถึงดาวพลูโต...ผมพอเข้าใจความรู้สึกของดาวพลูโตแล้วล่ะ) ดังนั้นพอเห็นอะไรก็ตามแนวๆ นี้ที่จัดตรงกับวันว่างของผม ก็ไม่รีรอที่จะไปเข้าร่วม สองก็อยากไปเยี่ยมบ้านตีโลปะ บ้านใหม่ของพี่ตั้ม หลังจากที่ได้เห็นแต่ภาพใน Facebook มานาน สามคือไปเยี่ยมพี่ตั้ม สี่คือไปเจอกับพี่โจน จันได ตัวเป็นๆ หลังจากเห็นทางทีวี หรือการให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่างๆ รวมถึงอาจารย์ก็เคยพูดถึง พี่โตโต้ก็เคยไปอยู่ที่สวนพันพรรณพักนึง ห้าคือจะได้ไปภาวนา และ...อืม มีอย่างอื่นอีกมั้ยนะ? นึกไม่ค่อยออกแล้ว

รูปแบบของวงเมื่อวาน ก็ไม่เชิง Dialogue มันเป็นเหมือนงานเสวนา ที่มีพี่โจเป็นวิทยากร ผนวกกับการภาวนา ที่มีพี่ตั้มเป็นคนนำซะมากกว่า เพราะอืม...ไม่ได้นั่งเป็นวงกลม (พี่โจกับพี่ตั้มนั่งหันหน้าเข้าหาผู้ฟัง ผู้ฟังหน้าหันหน้าเข้าหาพี่ตั้มกับพี่โจ) รูปแบบก็จะนำด้วยภาวนาตามแบบของพี่ตั้ม (ซึ่งไม่มีรูปแบบ) ตามด้วยการเล่าเรื่องของพี่โจ และการ...ถาม-ตอบ (จริงๆ พี่ตั้มบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ผมดูแล้วเป็นการถาม-ตอบ ระหว่างผู้เข้าร่วม กับพี่โจซะมากกว่า) รูปแบบจะเป็นแบบนี้ทั้งเช้าและบ่ายครับ


ช่วงภาวนาก็ อืม ไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ครับ ฟุ้งไปนู่นมานี่เร็วมากๆ ตามไม่ค่อยทัน แถมง่วงด้วย...สุดท้ายก็เลยนอนซะเลย (เอาหมอนรองก้นนั่นแหละ มาเท้าคางไว้ แล้วนั่งหลับ ผ่านก้นใครมาแล้วมั่งก็ม่ายรุ) นอนตื่นมาก็โอเคย์ครับ ดีขึ้น กลับมาอยู่กับตัวเองได้นานขึ้น...

เสร็จจากภาวนา (หลังจากพี่ตั้มเคาะระฆังใบหย่ายๆ) ก็เข้าสู่ช่วงของพี่โจแระ ช่วงแรกพี่โจเล่าชีวิตตัวเองให้ฟังครับ ก็รู้สึกว่าเป็นชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย ชีวิตช่วงแรกของพี่โจไม่ต่างอะไรจากคนอีสานที่หนีเข้ามาหางานทำในกทม. พี่โจเริ่มตั้งข้อสังเกตหลายๆ ข้อ เปรียบเทียบระหว่างชีวิตตัวเองกับชีวิตของคนสมัยก่อน พี่โจเริ่มรู้สึกว่ามัน "แปลกๆ" มัน "ยากจัง" ผมรู้สึกว่า ปรัชญาชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตของพี่โจ คือการกลับไปทำอะไร "ง่ายๆ" แบบธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป พี่โจเริ่มกลับไปทำการเกษตรแบบไม่พึ่งสารเคมี (จริงๆ แล้วช่วงนี้พี่โจก็เล่าเรื่องให้ฟังถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "ทุนนิยม" กับ "ความมั่นคงทางอาหาร" (พี่โจไม่ได้ใช้คำนี้ แต่ผมขอใช้คำนี้ ผมชอบคำว่า Food Security) ให้ฟังมากมาย) เริ่มสร้างบ้านดิน พี่โจรู้สึกว่า แม้แต่บ้านดินก็ยังสร้างง่าย พี่โจมีบ้านเป็นของตัวเองภายในเวลา ๓ เดือน จากนั้นมาก็เลยสร้างทุกปี ปีละหลัง พี่โจรู้สึกว่า อยู่แบบนี้ มันก็อยู่ได้ ปลูกผักปลูกข้าวเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ เก็บไว้กินเอง เหลือก็ขาย (ออกแนวเศรษฐกิจพอเพียง แต่ผมคงไม่พูดคำนี้ออกมาบ่อยๆ 555+)
จากนั้นก็มีคนถามนู่นถามนี่ คำถามกว่าครึ่งเป็นเรื่องของ "วิธีการ" ส่วนคำถามก็น่าสนใจอย่าง "การเผชิญหน้ากับเรื่องราวซ้ำๆ เดิมๆ" ซึ่งนำให้พี่โจได้เล่าโจทย์ชีวิตเท่าที่เคยผ่านมาให้ฟัง
พี่โจเล่าถึงเรื่องที่พี่โจกลัวผี แรกๆ ก็กลัว กลัวจนนอนไม่หลับ แต่พี่โจ "เผชิญหน้า" กับมัน โดยการ...ไปอยู่ในป่าช้า นอนปิดไฟคนเดียว ฯลฯ ซึ่ง...สุดท้ายแล้วพี่โจก็ไม่เจอผี พี่โจก็เลยไม่กลัวผีอีกเลย เรื่องราวฟังดูง่าย แต่ผมก็รู้สึกว่า มันเคยเป็นโจทย์ที่ใหญ่มากๆ ของพี่โจ และไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ ในการ Deal กับมัน...ได้ฟังเรื่องพี่โจแล้วก็นึกถึงตัวเองขึ้นมาว่า โจทย์ที่ผมกำลัง Deal กับมัน หรือสิ่งที่มาทำให้ผมสูญเสียพลังงานไปบ่อยๆ ก็...คงไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ ในการเข้าไปจัดการ...

นอกเหนือจากนั้น พี่โจก็พูดถึงสิ่งที่น่าจะหาอ่านได้ในหนังสือ โดยเฉพาะ My Ishmael (เอกกำลังแปลเล่มนี้อยู่ ตอนนี้ครึ่งเล่มแล้วครับ!!) และ...(ผมเดาว่า) ปล้นผลิตผล ของจันทนา ศิวะ ก็น่าจะพูดในประเด็นคล้ายๆ กัน พอผมฟังพี่โจมาถึงช่วงนี้ ก็นึกย้อนไปถึง IA2B08 ว่า...เออแฮะ น่าไปเรียนรู้กับพี่โจจัง และน่าจะได้ไปบุรีรัมย์กันด้วย จะได้ไปเห็นกับตัว ทำกับมือว่า การเกษตรโดยไม่พึ่งสารเคมี และการอยู่โดยไม่พึ่งทุนนิยมนั้นมันเป็นอย่างไร

ส่วนพี่ตั้มก็แนะนำเกี่ยวกับการภาวนา โดยส่วนตัวก็ทำให้ผมเข้าใจ "แนว" ของพี่ตั้มมากขึ้น พี่ตั้มก็จะไม่แยกการภาวนาออกจากการใช้ชีวิต นักภาวนาบางคน (แอบ) มีเป้าหมายเพื่อความสงบ เพื่อนิพพาน เพื่อหลีกหนีทุกข์ แต่พี่ตั้มภาวนาเพื่อเรียนรู้สภาวะใดๆ อย่างเท่าทัน
ทำให้ผม "อ๋ออออออออออออว์" และเข้าใจที่มาที่ไปของกิจกรรมที่จัดโดยพี่ตั้มมากขึ้น คือ สืบเนื่องจากแนวคิดของพี่ตั้มเกี่ยวกับการภาวนาที่ไม่แยกออกจากชีวิต พี่ตั้มก็เลยจัดกิจกรรมที่ผนวกเอาการภาวนาเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่ (ดูเหมือน) เข้ากันไม่ค่อยได้
เช่นในงานก่อนหน้า การภาวนากับการจัดการความรุนแรง
งานนี้ก็จะเป็นการภาวนากับเรื่องราวของความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และแสดงให้เห็นถึงหนทางและเป้าหมาย (ซึ่งคือสิ่งเดียวกัน) ร่วมระหว่าง Keywords ต่างๆ ข้างต้น

สุดท้าย พี่ตั้มก็อธิบายว่าทำไมต้อง "ปลากระโดด" (ลองไปชม "ปลากระโดด" ได้ที่ http://www.tilopahouse.com/)
ปลาที่ว่ายในสายน้ำก็เหมือนพวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่ในกระแส
การว่ายทวนน้ำ การทำตัวสวนกระแส ก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา
ถ้าไม่อยากทำตามกระแส แต่เหนื่อยกับการว่ายสวนกระแส...ก็ว่ายตามน้ำไปแหละ แล้วกระโดดขึ้นมาโลดแล่นเหนือกระแสบ้างอะไรบ้าง ตามแต่เหตุปัจจัยจะเอื้ออำนวย

พี่ตั้มอาจจะพูดอะไรอีกเยอะแยะ เกี่ยวกับปลากระโดด แต่ผมจับใจความได้เท่านี้แหละ ๕๕๕+

ผมล่ะโคตรโดนกับสิ่งที่พี่ตั้มพูดเลยอะ...
ผมรู้สึกไม่โอเคย์กับลำน้ำที่ผมตัดสินใจเลือกไปแหวกว่ายเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เพราะได้เห็นว่า มันมีสายน้ำสายอื่น มีอย่างอื่นที่น่าสนใจให้ทำมากกว่ามานั่งเรียนเยอะแยะ แล้วยิ่งได้เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ครูบาอาจารย์ได้ว่ายวนอยู่ในสายน้ำเดียวกัน สายน้ำที่ได้ไหลไปสู่ผู้คนมากมาย สายน้ำที่เอื้อต่อการตื่นรู้ทั้งตนเองและผู้อื่น สายน้ำที่ได้พาให้ทุกคน ได้ใช้ชีวิต ใช้เวลาในการทำประโยชน์ให้แก่ทั้งตนเองและผู้อื่นร่วมกัน...ผมรู้สึก...อิจฉา และน้อยใจตัวเองอยู่บ่อยๆ (ความรู้สึกแง่บวกอย่าง "ชื่นชมยินดี" ก็มีนะครับ แต่ก็ปนเปไปกับความรู้สึกอื่นๆ เยอะแยะไปหใด) ที่ต้องมานั่งแหงกอยู่ในห้องเรียนสี่เหลี่ยมแคบๆ เมื่อได้รู้ว่า นุ้กกับเพ็ญกำลังไปทำอะไรดีๆ ร่วมกันกับกลุ่มจิตตปัญญาวิถีอยู่ที่ไหนสักแห่ง กำลังเข้าเวิร์กช็อปศิลปะกับพี่ผึ้ง&พี่จิ๋มที่เชียงราย ได้ถูกอาจารย์เอเชียชวนไปคุยที่นู่นที่นี่ กับคนนั้นคนนี้ ได้มาเจอกัน คุยกันบ่อยๆ ได้... ได้... ได้...ฯลฯ
หลายๆ ครั้งเพ็ญกับนุ้กเล่าประสบการณ์ในเวิร์กช็อปให้ฟัง เล่าให้ฟังว่าได้คุยอะไรกับอาจารย์บ้าง ได้รับ Assignment อะไรจากอาจารย์ หรือบางครั้งผมก็ไปสู่รู้เข้าว่าอาจารย์กำลังจะชวนนุ้กกับเพ็ญไปไหนต่อไหนอีก ผมรู้สึกว่า ผมช่างไม่คู่ควรกับสถานการณ์ ณ ตรงนั้นเลย พับผ่าสิ! แต่หลายๆ ครั้งมันก็อยู่ต่อหน้าเพ็ญ อยู่ต่อหน้านุ้ก ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการ "ยิ้มสู้" กับความรู้สึกขุ่นๆ เน่าๆ ข้างใน...

พอได้ฟังเรื่อง "ปลากระโดด" จากพี่ตั้ม ก็เหมือนได้ "แว่นตา" อันใหม่ใช้สำหรับมองโลกที่ผมเผชิญอยู่...
เนาะ...การอยู่ในสายน้ำเชี่ยวกราด การจะว่ายทวน หรือไม่ว่าย มันยากโคตรเลย...เอาเป็นว่า ก็มองหาโอกาสและความเป็นไปได้เท่าที่มี กระโดดขึ้นมาลอยอยู่เหนือน้ำบ้างก็ได้ ถ้าวันเวลาของเวิร์กช็อปหรือกิจกรรมไหนที่ตรงกับวันว่าง ก็ค่อยไปเข้าร่วม เวิร์กช็อปไหนที่ถูกชวนให้ไปช่วย และตรงกับวันว่าง ก็ไปช่วย ... ส่วนช่วงเวลาที่ต้องเรียน ต้องเตรียมตัวสอบ ต้องทำรายงาน ต้องอ่านเปเปอร์ ต้องทำแล็บ ... ก็อยู่กับมัน ทำมันให้ดีที่สุด "ทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุด" ... ใช่ ... ก็ "ตั้งใจเรียน" ตามที่นุ้กได้ให้ "ของขวัญ" เอาไว้ในปาร์ตี้วันเกิดของผม


สุดท้ายนี้
อยากบอกนุ้กกับเพ็ญว่า ขอบคุณเหลือเกิน ขอบคุณมากมายสำหรับการดูแล ขอบคุณนุ้กสำหรับการ Reply กลับผ่าน Twitter ขอบคุณที่ชวนไปเวิร์กช็อปต่างๆ ขอบคุณเพ็ญสำหรับการ "อยู่" เพื่อให้เราได้รู้ว่าจะมีคนคอยรับสายเราเสมอๆ เวลาเราอยากระบายให้ใครสักคนฟัง ขอบคุณเพ็ญที่ "ฟัง" เราตลอดมา
ที่ผ่านมาเราไม่กล้าเล่าให้ฟังว่าเรารู้สึกอย่างไร ไม่กล้าบอกถึงความรู้สึกขุ่นๆ เมื่อเรารับรู้ว่าทั้งนุ้กทั้งเพ็ญได้ไปไหนต่อไหน ได้ไปเจอะเจออะไรมาบ้างโดยไม่มีเรา โดยเราไม่มีโอกาสไปอยู่ตรงนั้น เพราะเรากลัวว่า นุ้กกับเพ็ญจะไม่เล่าให้เราฟังอีก
จากนี้ไปก็..."ขอให้เหมือนเดิม" นะ แบบนี้ดีแล้ว เราชอบมาก มันทำให้เรารู้ว่า เรายังคงมีตัวตนอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ยังเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่นุ้กกับเพ็ญนึกถึงและอยากเล่าเรื่องให้ฟังอยู่เสมอๆ
ขอบคุณที่ไม่ลืม และไม่ทิ้งกัน

Halley

ป.ล.๑ ขอบคุณนุ้กที่ทำให้เราได้เริ่มลงมือเขียน Reflection นี้ จริงๆ ตั้งใจจะเขียนอยู่แล้วล่ะ แต่ได้ Enhancer ชั้นยอดมา ก็ทำให้ตัดสินใจ "ลงมือ" เขียนได้โดยไม่ต้องคิด และมันก็ทำให้เรามั่นใจมากว่าจะมีคนคอยอ่านมัน
ป.ล.๒ เริ่มเขียนวันที่ ๑๑ แต่เขียนไม่เสร็จ มาเขียนต่อเย็นวันนี้ครับ และผมก็ไม่ได้กลับไปแก้สิ่งที่เขียนไปแล้วด้วย อย่าตกใจที่วันที่ที่อ้างอิงถึงจะดูแปลกๆ

===

ครับ...ตามนั้นแหละ :)

02 พฤศจิกายน, 2552

เช้าวันหนึ่งวันนั้นวันหนึ่งวันนั้นแปดนาฬิกา

เราเองก็คิดถึงฮัลเลย์กับนิวเหมือนกัน อยากให้เรียนจบไวๆ จะได้มาโปกฮาด้วยกันอีก

ขออภัยท่านผู้ติดตามที่ขออนุญาตไม่กล่าวถึงที่มาที่ไปของคำพูดข้างต้น

แค่อยากเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้า ตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาซะงั้น

วันนี้เช้าตั้งแต่เดินเข้ามาคณะก็สังหรณ์แปลกๆ ว่าจะได้เจอ ก็เจอจริงๆ ด้วย

เมื่อเช้ากะจะอ่านเปเปอร์ที่อ.สุมาลีให้อ่านก่อนเรียนให้จบ แต่เราคงไม่เสียเวลา และไม่มีกะจิตกะใจมานั่งอ่านเปเปอร์ ถ้ามีเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานมานั่งอยู่ตรงหน้า

แม้จะไม่ได้ตั้งใจมาหาเราโดยตรง

ยังไงก็ขอบคุณที่มา Check in ให้ฟัง ขอบคุณที่มาแบ่งปันการเดินทางและ Breakthrough อันแสนจะงดงามและน่าประทับใจ ขอบคุณที่เล่าการตัดสินใจ และ Commitment อันยิ่งใหญ่อีกครั้งของชีวิตให้ได้รับรู้ ขอบคุณที่่ได้เอื้อนเอ่ยประโยคนี้ออกมา

ขอบคุณที่ทำให้วันจันทร์ วันเรียน วันนี้ ไม่แห้งแล้งและไร้ชีวิตชีวาจนเกินไปนัก

อยากบอกผ่านพื้นที่นี้เหมือนกันว่า
เราเองก็คิดถึงเพื่อนมาก
ตอนนี้ และเทอมนี้เรียนเยอะมาก จนไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสไปโปกฮาด้วยกันอีกเมื่อไหร่
สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน ตั้งใจทำแล็บ ไม่ให้พลาดเหมือนป.ตรี
สัญญาว่าจะจบเร็วๆ แล้วหาเรื่องไปโปกฮากันอีก

วันนี้ดีใจมากที่ได้เจอ และได้สุนทรียสนทนากันโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอารัมภบทมากมาย

จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง ดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจให้ดีด้วยล่ะ

Halley
หมู่บ้านหลักสองนิเวศน์

26 ตุลาคม, 2552

Untweetened tweets I

"ช่วงนี้เหมือนใช้ชีวิตอย่างเหงาๆ และไร้คุณค่าไปวันๆ"

"คิดถึงจัง โชคดี+เดินทางปลอดภัยนะ"

16 ตุลาคม, 2552

Plan for 2nd Semester

ในที่สุดก็เลือกได้ซะทีว่าจะเรียนวิชาอะไรบ้างในเทอม ๒ นี้
มาดูกันดีกว่าว่าเทอม ๒ นี้ฮัลเลย์จะเจออะไรบ้าง

(ส่วนข้างล่างนี้เป็นของเทอม 1 เอามาให้ดูเล่นๆ)


อืม ... แลดูไม่เยอะไม่น้อยไปเนอะ (บัณฑิตวิทยาลัยของมหิดลให้ลงได้อย่างต่ำ 9 หน่วย อย่างมาก 15 หน่วย)

ส่วนค่าหน่วยกิต ก็ถูกสำหรับคนไทย แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติ และ/หรือ ได้ทุนการศึกษา ค่าหน่วยกิตจะขึ้นเป็น 9000 ต่อหน่วยทันที - -!

จริงๆ ก็คิดมาได้พักหนึ่งแล้วล่ะว่าจะเรียนวิชาอะไรดี เพิ่งมาสรุปได้เอาวันนี้ เพราะวิชาของอ.เอเชีย (SCBI343 Natural Resource and Environmental Management - NREM) ไม่เปิดแล้ว ก็เลยลง SCID514 Animal Experimentation in Biomedical Research ได้เพิ่มอีก 1 วิชา

และในอนาคต (ในช่วงที่ให้ลงทะเบียนเพิ่มได้) ถ้าตารางของ Immunological Method กับ Animal Cell Culture Technique ออกมาโดยไม่ชนกับใคร ก็คงลงเรียนเพิ่มอีก กลายเป็น 14 หน่วยถ้วน

อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยว่าฮัลเลย์เรียนอะไร ทำไมวิชามันไม่ค่อยไปในแนวเดียวกันเท่าไหร่
มีทั้งโมเล็ก อิมมูน นิวโร และไหนจะวิชาแล็บ (วิชาที่มีค่า 1 หน่วยกิตทั้งหลาย) ทั้งหลายนั่นอีก

ก็ขอบอกว่า ฮัลเลย์เรียนหลักสูตรเวชศาสตร์ระดับโมเลกุล (ป.เอก ... แต่เพื่อนม.ปลายบางคนชอบบอกว่า "โทควบเอก" ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่)
ลองไปดู Curriculum ได้ที่ --> http://www.grad.mahidol.ac.th/grad/curriculum/view.php?lang=th&pid=273

จะเห็นว่า ด้วยความที่ชื่อหลักสูตรก็สุดแสนจะแฟนตาซี และมี Spectrum ของงานวิจัย/การเรียนที่โคตรจะกว้าง (แต่คนนอกฟังแล้วชอบคิดไปว่า "ทำยา" ... ก็ทำได้นะ ทำเรื่องการขนส่งยาโดยใช้อนุภาคนาโน หรือดูกลไกการออกฤทธิ์ของยา ดูเรื่องวัคซีน ฯลฯ ก็ทำได้หมดและกว้างมาก ... นี่แค่ "ทำยา" นะ จริงๆ ยังทำอย่างอื่นได้อีกแยะ) และด้วยความที่เป็นโครงการร่วม 5 คณะในมหิดล (บัณฑิตวิทยาัลัย คณะวิทย์ คณะแพทยศาสตร์รามาฯ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และคณะทันตแพทยศาสตร์) ทำให้วิชาบังคับ (ที่ไม่ใช่สัมมนาและวิทยานิพนธ์) เรียนหมดไปตั้งแต่เทอมหนึ่ง (ในขณะที่บางหลักสูตรบังคับให้เรียนไปจนถึงปี 2 นู่นนน) ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของนักศึกษาที่ต้องไปหาวิชาอะไรก็ได้มาโปะให้ครบ 20 หน่วย โดยต้องเป็นวิชาที่ขึ้นต้นด้วยเลข 6 (ที่ไม่ใช่สัมมนาและวิทยานิพนธ์) อย่างน้อย 2 วิชา (สำหรับตรีต่อเอก)

และเนื่องด้วยหลักสูตรนี้คือเวชศาสตร์ระดับโมเลกุล (Molecular Medicine) ทำให้ต้องมีความรู้ที่ควรรู้ประดับหัวไว้ก่อนจบอย่างน้อย 2 เรื่อง (คิดเอาเองนะ) คือ Molecular Biology and Genetics (พูดรวมเป็น 1 เรื่อง) และ Medical Science/Biology
และด้วยความชอบ ความสนใจส่วนตัวด้าน Neuroscience อยู่แล้ว
เมื่อรวมกับวิชาที่เปิดในเทอม 2 แล้ว

ทำให้ได้ Cocktail ของวิชาเรียนเทอม 2 ออกมาหน้าตาอย่างงี้แล ...

ส่วนในอนาคต (เทอมต่อๆ ไป) ก็ว่าจะตามเก็บความรู้หมอๆ ให้เยอะขึ้น (สังเกตว่าปีการศึกษานี้เน้น Molec/Neuro/Cell ซะเยอะ) ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Microbiology/Infectious disease/Pathology/Metabolic disease/ฯลฯ

อ้อ หลักสูตรนี้จะให้โอกาสไปหมุนๆ ตามแล็บต่างๆ (Rotate lab) ประมาณ 3-4 แล็บ แล็บละประมาณ 1 เดือน เพื่อเก็บประสบการณ์ และเรียนรู้วัฒนธรรมในแล็บนั้นๆ
เท่าที่คิดๆ ไว้ก็เป็นแล็บ Neuro/Immuno/AFM (atomic force microscope) น่าจะประมาณนี้มั้ง
แต่ว่า แล็บ AFM นี่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ธีราพรจะยังรับเข้าไปทำอยู่รึเปล่า 555+
ตอนป.ตรีทำเค้าไว้แสบนัก - -"
Halley
ห้องสมุดสตางค์ มงคลสุข

ป.ล. จริงๆ ควรจะได้เขียนบล็อกเกี่ยวกับโลกร้อน 1 เรื่องในวันที่ 15 ตุลา แต่ก็ไม่ได้ทำ - -"

25 กันยายน, 2552

บ่ายแห่งการเรียนรู้

มีความรู้พื้นฐานนิดหน่อยสำหรับการอ่านบล็อกนี้ให้รู้เรื่อง และเข้าใจ (แต่จะไม่อ่านก็ได้นะ)



1. ตอนนี้ผมเรียนวิชา SCID518 Generic Skills in Science Research ซึ่งจะมีหัวข้อ Fast Track in Science Databases ให้ได้ลงมือทำกันแบบ Hand-on Workshop แต่ด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร ทำให้ต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเรียนบ่ายนี้ กลุ่มที่สองเรียนพุธบ่ายหน้า

2. พี่ต๋อย เป็นชื่อที่ผมเรียกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลและเป็น TA ในรายวิชา SCID5xx ทั้งหลาย

3. พี่สา เป็นชื่อของพี่ที่เรียนป.เอก หลักสูตรพิษวิทยา ที่สนิทกัน



เอาล่ะ จบแล้ว



ต่อไปเป็นการคัดลอกเนื้อหาจากสมุดบันทึกการเดินทางของผมมาใส่ไว้ในนี้ล้วนๆ



---



ตอนนี้นั่งอยู่ในห้อง P114...ในใจกำลังครุกรุ่นไปด้วยความไม่พอใจ...กับการไม่มีที่นั่ง, กับความผิดหวังว่าจะได้นั่งเครื่องคอมพ์ 1 คน/เครื่อง (ก็เพราะจะได้ Tweet, เช็คเมล์. เข้าเว็บบอร์ดไปด้วยระหว่างเรียน...) จากนั้นก็ตามมาด้วยเหตุลและข้อ้อางต่างๆ นาๆ ที่โยนความผิด โยนความรับผิดชอบไปให้สิ่งอื่น เช่น บ่นว่าการจัดการไม่ดี, คนดูแลห่วย, ไม่เอาใจใส่เราเท่าที่ควร...บลาๆๆ จนสุดท้ายก็ต้องออกจากห้องไปเป็นการประชด ประท้วง และดื้อเงียบ ก็เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น...จะได้หาอะไรทำนอกจากมานั่งโกรธอยู่แบบนี้...ก็โอนะ...ได้ไปเจอน้องๆ ได้ไปเอาของให้อ.เอเชีย ก็ทำให้ลืมๆ ไปบ้าง...แต่พี่สาก็โทรเข้ามา ตามกลับไปเข้าเรียน...สุดท้ายก็เข้ามาในห้องอีกครั้ง ตามด้วยการนั่งลงไปกับพื้นอย่างไม่เกรงใจวิทยากรและอ.สรวง ตั้งใจว่าจะไม่เรียน...แต่ก็...

แต่พี่ต๋อยก็เข้ามา...ถามอย่างใจดี ใจเย็น และมีเมตตาว่า "จะเอาเก้าอีกปะ?" มันเหมือนไฟโทสะในใจมันดับลงไปหน่อยนึงน่ะ แล้วพี่ต๋อยก็เข้ามาคุยว่า รอบนี้มีคนจากรอบสองมาเรียนรอบนี้ด้วย...โอ...เราตัดสินคลาสนี้ไปนี่...เราตัดสินไปล่วงหน้าว่าคลาสนี้ไม่ควรมีเพราะ Resource ไม่เพียงพอต่อจำนวนนศ. และบลาๆๆ...ก็เพราะได้พี่ต๋อยแหละที่ทำให้คิดได้ และมองเห็นการตัดสินอันยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่งของเรา มองเห็นความไมรับผิดชอบต่อชีวิตและการเรียนรู้ของตัวเอง (จริงๆ อันนี้ยังไม่ชัดเท่าไหร่...)

ตราบจนชีวิตจะหาไม่ ก็คงต้องเรียนรู้ตัวเองกันต่อไป

Halley
P114
25/09/09, 13.55 น.

20 กันยายน, 2552

ผิดหวังจากความคาดหวัง

ผิดหวังจากความคาดหวัง

เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้


เป็นความคาดหวังแบบเดิมๆ
เป็นร่องเดิมๆ
เป็นอารมณ์เดิมๆ

แต่ก็ยังไม่ทัน
ยังห้ามไม่ได้
หยุดไม่อยู่
ฉุดไม่อยู่
ยั้งไว้ไม่ไหว

ทุกครั้งที่คาดหวัง
ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะผิดหวัง
(ซึ่งส่วนใหญ่ ก็จะผิดหวัง)

และพอผิดหวัง
ผลที่ตามมาคือ
เจ็บจี๊ดๆ ในใจ
ความทุกข์
และความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง

บ้างทัน บ้างไม่ทัน
บ้างเห็น บ้างไม่เห็นความ "อยาก" ออก
บ้างศิโรราบ
และบ้าง...ก็ร่ำไห้

สนุกดีนะชีวิตนี้
ดูใจเราซะสิ เป็นได้ขนาดนี้
ไม่ยอมถอยหรอก เส้นทางนี้
ก้าวเดินไปพร้อมความเจ็บปวดนี่แหละ

เป็นปม เป็นปัญหา เป็นทุกข์ที่ยุ่งเหยิงดี
แต่ทำไงได้ นี่มันตัวเรา ใจเรา ความคิดเรา...ชีวิตเรา

ปฏิเสธมัน? กำจัดมัน?
เดี๋ยวมันก็กลับมา

ก็อยู่กับมันไปน่ะแหละ
เพราะเชื่อเหลือเกินว่า
สักวันนึง...ถ้าไม่ใช่ชาตินี้...ก็คงเป็นชาติหน้า...ไม่ก็ชาติต่อๆ ไป

มันจะคลี่คลาย
ด้วยตัวของมันเอง

05 กันยายน, 2552

เพื่อนเที่ยว

นานมาแล้วผมเคยพูดถึงเพื่อนกินเอาไว้
และรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนกินดีๆ อย่างแก้วตา - เธอกินกับผมได้ทุกอย่าง และกินเยอะดี ทำให้ผมไม่นึกเกรงใจเวลาที่ต้องจ่ายตังค์แชร์ค่ากินกับเธอ

คราวนี้ ช่วงครึ่งหลังของชีวิตป.ตรี และจนถึงบัดเดี๋ยวนี้...ผมนึกอยากมีเพื่อนเที่ยวกับเค้าซะแล้วซี

คำว่า "เที่ยว" ในที่นี้ ก็ไม่พ้นเรื่องเที่ยวกลางคืนน่ะแหละ

จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเที่ยวนะ แต่ก็รู้สึกว่าเที่ยวน้อยไป ทั้งในเชิงคุณภาพ และปริมาณ

โอเค...มันไม่ดีหรอก ผิดศีล และการพาตัวเองไปในสถานที่อโคจรก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นกุศลซะเท่าไหร่
แต่เรื่องหลายๆ เรื่องมันก็อยู่เหนือเหตุผลและศีลธรรม - ก็ Id มันทำงานข่มทับ Superego นี่นา...

เรื่องของเรื่องที่ทำให้เรื่องนี้มันเป็นประเด็นขึ้นมา คือ คืนหนึ่ง หลังจากกลับจากบ้านอาจารย์เอเชีย ช่วงที่ผมกับนุ้กกำลังเดินบนสะพานลอยรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็ผ่านร้าน Saxophone ซึ่งก็เป็นผับดีๆ นี่เองแหละ

นุ้กชวนผมเป็นครั้งที่สอง (ซึ่งไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจำได้รึเปล่าว่านี่คืิอครั้งที่สอง) ว่าให้ลองมานั่งชิลล์ๆ ฟังเพลงแนวแจ๊ส สกา เร็กเก้ที่ผมชอบดูบ้าง...

ก็อืม...ก็เห็นตัวเองชัดขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ผมยึดถืออยู่เกี่ยวกับเรื่องนี้
ถ้าให้ไปคนเดียวก็คงต้องขอคิดดูก่อนนานๆ เพราะการไปเที่ยวผับ เทค ก็คือการทำสิ่งอกุศลดีๆ นี่เอง
การไปนั่งคนเดียวก็คงท้าทายดีสำหรับผม - ก็ถ้าต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกคนเดียว ผมจะเป็นคนละคนกับตอนที่ได้อยู่กับเพื่อนๆ หรือคนที่สนิทๆ โดยสิ้นเชิง จะเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ขี้อาย และไม่กล้าทำอะไรแตกต่างอย่างถึงที่สุด
ถ้าไปคนเดียว...จะทำยังไง สั่งอะไรบ้าง นั่งตรงไหน ถ้าไม่อยากกินเหล้า สั่งเครื่องดื่มอย่างอื่นแทนได้มั้ย ถ้าจะกินเหล้า จะสั่งยังไง มีอะไรบ้าง แล้วจะกินหมดมั้ย มีกับข้าวมั้ย มีอะไรบ้าง...มะเอา ไม่กล้าถาม กลัวโดนดูถูก โดนว่า

ก็ทำให้...ไม่กล้าที่จะไปคนเดียว
แต่ตอนนี้ก็มีความคิดที่จะไปคนเดียวขึ้นมาบ้างแล้วนะ...แต่...

การไปกับเพื่อนก็สนุกกว่าอยู่ดี อย่างน้อยก็ได้มีเพื่อนคุย และได้แสดงออกความเป็น "ฮัลเลย์" มากกว่าที่จะต้องเก็บกดเอาไว้
และที่สำคัญ ผมเองก็ให้ค่า "การไปเที่ยวด้วยกัน" ไว้ค่อนข้างสูง เพราะเห็นแล้วว่า สำหรับกลุ่มคนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน ไม่ใช่ชวน "ใครก็ได้" แต่จะชวนกันเฉพาะคนในกลุ่มจริงๆ
นั่นคือ ถ้าผมถูกชวน แปลว่าผมถูกนับรวมไปอยู่ในกลุ่มด้วย - นั่นแหละคือความคาดหวังสูงสุด

นั่นก็ทำให้หลายๆ ครั้งที่รู้ว่าเพื่อนๆ ไปดื่มกินกันโดยไม่ได้ชวน ผมจะมีความรู้สึก "น้อยใจ" ตามมาเสมอ
ไม่ใช่การน้อยใจโดยไปโทษคนอื่น - ก็เหมือนทุกที - คือโทษตัวเอง

เพราะเข้าใจดีว่า แต่ละคนก็มีเหตุผล มีที่มาที่ไปของแต่ละคนจริงๆ

ดังนั้น ประเด็นที่น้อยใจ มันคือการน้อยใจตัวเองว่า ทำตัวไม่ดีพอที่จะเป็นที่ยอมรับของคนอื่น ทำตัวไม่กลมกลืนกับคนอื่นมากพอที่จะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ และมากพอที่จะเป็นกลุ่มเดียวกันของใครต่อใคร

แม้จะต้องทำเรื่องที่อกุศลไปบ้าง แต่ก็ยอม ถ้ามันต้องแลกมากับการเป็นที่ยอมรับ

02 กันยายน, 2552

แลลักษณ์ลึงค์: ไยน่าตะลึงนัก?

นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychologist) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสามารถตอบคำถามได้แล้วว่า “ทำไมรูปร่างลึงค์จึงเป็นอย่างที่เห็น?”

โดยในขั้นแรก นักวิจัยได้ใช้หลักการให้เหตุผลแบบตรรกนิรนัย (logicodeduction) คือศึกษาเปรียบเทียบในเชิงมองย้อนกลับไปหาต้นตอของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสายวิวัฒนาการ แล้วสรุปออกมาว่าเพราะเหตุใด “สิ่งนั้น” จึงเป็น “เช่นนี้”?

ในที่นี้นักวิจัยได้ศึกษาเรื่องของรูปร่างลึงค์ จึงเปรียบเทียบลักษณะภายนอกของลึงค์ระหว่างมนุษย์กับไพรเมท (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกลิง เอป และมนุษย์ผู้แปล) อื่นๆ พบว่า ลึงค์มนุษย์ที่มีความยาวเฉลี่ย ๕ ๖ นิ้ว เส้นรอบวงเฉลี่ย ๕ นิ้วนั้น แม้แต่กับชิมแปนซีที่เป็นญาติใกล้ชิดกับเรามากที่สุดในเชิงวิวัฒนาการ ก็ยังมีขนาดที่เล็กกว่าของมนุษย์ และยิ่งถ้าเปรียบเทียบโดยคำนวณเรื่องของขนาดลำตัวและน้ำหนักเข้าไปด้วยแล้ว ขนาดลึงค์ของชิมแปนซีก็เล็กกว่าของมนุษย์ครึ่งหนึ่ง

นอกเหนือไปกว่านั้น ลึงค์ของมนุษย์ยังมีลักษณะอีกอย่างที่ญาติใกล้ชิดของเราไม่มี นั่นคือ บริเวณคอลึงค์ ซึ่งเป็นส่วนที่หัว (glans) มาเชื่อมกับลำลึงค์ (shaft) มีลักษณะคล้ายร่มเห็ด และมีเส้นสองสลึง (frenulum) คอยยึดอยู่ บริเวณคอลึงค์นั้นจะมีลักษณะเป็นสันหยักและแผ่กว้างออกไปรอบวง ทำให้บริเวณนี้มีเส้นรอบวงที่ใหญ่กว่าลำลึงค์ ลักษณะพิเศษที่พบได้แต่ในมนุษย์นี้ ทำให้นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการกลุ่มนี้เชื่อว่า ลักษณะพิเศษนี้น่าจะมีบทบาทสำคัญในเชิงวิวัฒนาการของมนุษย์

เคยมีการศึกษาก่อนหน้านี้ใช้เทคนิคการฉายภาพสั่นพ้องแม่เหล็ก (magnetic resonance imaging: MRI) ถ่ายภาพลักษณะการวางตัวของลึงค์ในช่องคลอดในขณะที่กำลังสอดใส่ พบว่าลึงค์จะขยายตัวและกินพื้นทั้งหมดของช่องคลอด และในบางท่วงท่า (เช่น ท่ามิชชันนารีผู้แปล) ลึงค์จะสามารถสอดใส่เข้าไปได้ลึกที่สุด จนชนปากมดลูกเลยทีเดียว และยังมีการศึกษาอีกชิ้นเกี่ยวกับการหลั่งน้ำกาม พบว่าผู้ชายจะสามารถขับน้ำกามออกมาได้ไกลถึง ๒ ฟุต ซึ่งต้องใช้แรงขับมหาศาล หากรวมผลการทดลอง ๒ ชิ้นเข้าด้วยกัน จะสรุปได้ผู้ชายถูกออกแบบมาเพื่อการหลั่งน้ำกามในช่องคลอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้

และในปีค.ศ. ๒๐๐๔ คณะวิจัยคณะนี้ได้ตั้งสมมติฐานเพิ่มเติมอีกว่า ขนาดและรูปร่างของลึงค์นอกจากจะมีเพื่อการหลั่งน้ำกามอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถชะน้ำกามของผู้ชายคนก่อนหน้าที่หลั่งอยู่ในช่องคลอดไม่ให้ตกค้างอยู่ในช่องคลอดได้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเป็นพ่อของลูกที่จะเกิดมานั่นเอง

คณะวิจัยได้ทดลองสมมติฐานนี้โดยอาศัยช่องคลอดเทียม น้ำกามเทียม และลึงค์เทียม ๓ อัน ลึงค์ทั้ง ๓ มีความยาวเท่ากัน ต่างกันที่ขนาดของสันหยักรอบคอ โดยมีความยาวเส้นรอบวงที่เกินมาจากลำลึงค์ ๐.๒, ๐.๑๒, และ ๐ นิ้ว (เป็นกลุ่มควบคุม คือไม่มีสันหยักรอบคอ) ตามลำดับ คณะวิจัยได้ใส่น้ำกามเทียมลงไปในช่องคลอดเทียม และใช้ลึงค์เทียมสอดใส่เข้าไป จากนั้นวัดปริมาณของน้ำกามที่เหลือภายในช่องคลอด ผลการทดลองเป็นตามที่คาด คือ ลึงค์เทียมที่มีสันหยักรอบคอสามารถชะล้างน้ำกามที่ตกค้างอยู่ออกมาได้มากกว่าลึงค์เทียมที่ไม่มีสันหยักรอบคออย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้น คณะวิจัยได้พิสูจน์ความลึกของการสอดใส่ต่อประสิทธิภาพของการชะน้ำกาม พบว่ายิ่งสอดใส่ลึงค์เทียมเข้าไปมากเท่าไหร่ ยิ่งชะน้ำกามออกมาได้มากเท่านั้น

การวิจัยระยะที่สอง คณะวิจัยได้ใช้แบบสอบถามพฤติกรรมของการมีเพศสัมพันธ์และการสอดใส่ในวัยรุ่นที่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย พบว่า วัยรุ่น (ทั้ง ๒ เพศ) ที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง เพศชายจะสอดใส่ลึกกว่า และด้วยจังหวะที่เร็วกว่า และคู่ครองที่ต้องแยกจากกันไปสักพักแล้วมาพบกันใหม่ จะมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงและเร่าร้อนมากกว่าคู่ครองที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยกันบ่อยๆ ผลของการตอบแบบสอบถามสามารถอุปมาและสรุปได้ว่า ด้วยความกลัวว่าคู่ครองของตนจะไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นในขณะที่ตนไม่ได้อยู่เฝ้า เมื่อกลับมาและมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครอง จึงใช้ลึงค์ในฐานะเครื่องมือชะน้ำกามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าปรกติ (ไม่ว่าจะด้วยจิตใต้สำนึก หรือจิตเหนือสำนึก)

นอกจากนี้ ผู้ชายทุกคนทราบดีว่าหลังจากหลั่งน้ำกามไปแล้ว กลไกทางสรีรวิทยาจะป้องกันไม่ให้ลึงค์กลับมาแข็งตัวใหม่ และการถึงจุดสุดยอดก็ช่วยทำให้หลับสบาย เหตุผลที่ธรรมชาติสรรค์สร้างผู้ชายให้ออกมาเป็นเช่นนี้ ก็เพียงเพราะไม่ต้องการให้มีเพศสัมพันธ์และเกิดการสอดใส่อีกครั้งโดยเร็ว ซึ่งคือการกวาดเอาน้ำกามของตนออกมานั่นเอง

จะเป็นไปได้ไหมที่ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์ด้วยอสุจิของผู้ชายที่เธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วย? แน่นอนว่าเป็นไปได้ ด้วยสถานการณ์จำลองต่อไปนี้

กล้าไปมีอะไรกับแก้วหลังจากที่เธอเพิ่งไปมีอะไรกับดำ น้ำกามของดำก็จะติดมากับลึงค์ของกล้าที่สอดใส่เข้าไปในช่องคลอดของแก้ว และถ้ากล้ายังไม่ได้ขริบหนังหุ้มปลายออก น้ำกามของดำจะถูกเก็บไว้ภายใต้หนังหุ้มปลาย จากนั้นกล้าก็ไปมีอะไรอีกครั้งกับหญิง ทำให้น้ำกามของดำมีโอกาสส่งผ่านเข้าไปในช่องคลอดของหญิงด้วย...

และแล้วหญิงก็ตั้งท้องด้วยอสุจิของดำ

---

แปลและเรียบเรียงจาก “Secrets of the Phallus: Why Is the Penis Shaped Like That?” นิตยสาร Scientific American เดือนเมษายน ๒๕๕๒

เข้าถึงออนไลน์ได้จาก http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=secrets-of-the-phallus

31 สิงหาคม, 2552

พบสาเหตุของปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย

ปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย (colony collapse disorder: CCD) คือปรากฏการณ์การหายไปของผึ้งตัวเต็มวัยเกือบทั้งรัง ทิ้งผึ้งราชินีและผึ้งที่ยังไม่โตเต็มวัยที่ต้องการอาหารและการดูแลไว้เพียงลำพัง ความผิดปกตินี้ถูกพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. ๒๐๐๖ ในสหรัฐอเมริกา และผึ้งมากกว่า ๒ ใน ๓ ของสหรัฐอเมริกาก็หายไปภายใน ๒ ปี นอกจากนี้ยังพบปรากฏการณ์นี้ในยุโรปตะวันตกและไต้หวันอีกด้วย ผึ้งเป็นผู้ถ่ายละอองเรณู (pollinator) ที่สำคัญซึ่งจะช่วยถ่ายละอองเรณู และทำให้ผลไม้ต่างๆ ติดผล ผึ้งมีส่วนสำคัญในระบบเกษตรกรรมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง ๑๔ พันล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ ล่าสุด นักวิจัยด้านกีฏวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสาร “Proceedings of the National Academy of Sciences” (PNAS) ซึ่งเปิดเผยสาเหตุของ CCD จากการศึกษาชีววิทยาระดับโมเลกุลของผึ้ง ผลการศึกษาชี้ชัดว่า ผึ้งที่ตายจาก CCD มีไรโบโซม (ribosome) ที่ผิดปกติไปจากผึ้งปกติ

นักวิจัยได้ใช้เทคนิคไมโครแอเรย์ (microarray) ที่สามารถเปรียบเทียบการแสดงออกของยีนได้คราวละมากๆ เปรียบเทียบการแสดงออกของยีนทั้งจีโนม (genome) ซึ่งสกัดจากเซลล์บริเวณทางเดินอาหารระหว่างผึ้งปกติและผึ้งที่ตายจาก CCD ไม่พบการแสดงออกของยีนที่ตอบสนองต่อยาฆ่าแมลงและยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน แต่กลับพบว่า ไรโบโซมของผึ้งที่ตายจาก CCD แตกหักเสียหายมากกว่าผึ้งปกติอย่างมีนัยสำคัญ

ไรโบโซมเป็นสารชีวโมเลกุลที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสังเคราะห์โปรตีนภายในเซลล์ ผึ้งที่ไรโบโซมเสียหายและใช้งานไม่ได้ จะไม่สามารถสังเคราะห์โปรตีนเพื่อตอบสนองเพื่อต่อต้านยาฆ่าแมลง การติดเชื้อจุลชีพต่างๆ ภาวะขาดอาหาร และความเครียดอื่นๆ จนนำไปสู่การตายในที่สุด

สาเหตุของการแตกหักของไรโบโซมดังกล่าว คือไวรัสที่มีชื่อว่า Picorna-like Virus (ชื่อตั้งมาจากคำว่า “pico-” ซึ่งหมายถึง “เล็กๆ” กับคำว่า RNA ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ได้จากการถอดรหัสสารพันธุกรรม) ซึ่งจะขโมยไรโบโซมและสารชีวโมเลกุลอื่นๆ ของเจ้าบ้าน (host) ไปใช้ในการผลิตโปรตีนสำหรับการจำลองและแพร่กระจายพันธุ์ของตัวเอง และถ้าผึ้งตัวใดติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ไรโบโซมของมันจะทำหน้าที่ไม่ไหว และแตกหักเสียหายในที่สุด

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่สามารถหาสาเหตุของการติดเชื้อไวรัสได้

---

แปลและเรียบเรียงจาก:-

http://www.ens-newswire.com/ens/aug2009/2009-08-25-093.asp

http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/8219202.stm

27 สิงหาคม, 2552

ภาวะซึมเศร้า: โรคร้ายหรือการปรับตัว

ภาวะซึมเศร้า (depression) เป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับคนบางคน จิตแพทย์และนักจิตวิทยามองมันว่าเป็นภาวะที่ส่งผลร้าย แน่นอนว่าภาวะซึมเศร้าสำหรับบางคนอาจทำให้เบื่ออาหาร แยกตัวออกจากสังคม อารมณ์ทางเพศเสื่อมถอย ไม่มีสมาธิและไม่สามารถจดจ่อต่อเนื่องในหน้าที่การงานและวิถีชีวิตตามปกติ และบางคนก็รุนแรงจนถึงขั้นต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือตนเอง คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติที่เกิดจากภาวะซึมเศร้าสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าภาวะซึมเศร้าเป็นภาวะที่ส่งผลร้ายตามที่กล่ามาข้างต้น การคัดเลือกตามธรรมชาติก็ควรจะทำให้สมองเราทนทานต่อภาวะนี้ได้ แต่เหตุไฉนรูปการณ์กลับตรงกันข้าม?

หรือภาวะซึมเศร้าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากเรามีอายุมากขึ้น? - ก็ไม่น่าจริง เพราะทั้งเด็กทั้งวัยรุ่นต่างมีประสบการณ์ต่อภาวะนี้ทั้งสิ้น

หรือภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นเพราะความศิวิไลซ์? - ก็ไม่น่าใช่อีก เพราะจากการศึกษาชนเผ่าพื้นเมืองในปารากวัยและแอฟริกาใต้ ซึ่งอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมดั้งเดิมที่บรรพบุรุษเราวิวัฒนาการกันมา ก็พบว่ายังคงประสบกับภาวะนี้

หรือภาวะซึมเศร้าอาจไม่ใ้ช่ภาวะที่ไร้ประโยชน์ แต่กลับมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต?

นักวิจัยประสาทศาสตร์ระดับโมเลกุลได้ศึกษาหน้าที่ของโปรตีน 5HT1a ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณในรูปแบบของสารเคมีในสมองที่ชื่อเซโรโทนิน พบว่าหนูทดลองที่ไม่มีโปรตีนนี้ในสมองตอบสนองต่อความเครียดน้อยลง ซึ่งจะออกมาในรูปแบบของอาการซึมเศร้าที่ลดลงนั่นเอง และเมื่อได้เปรียบเทียบส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้โปรตีนนี้ทำงานได้ระหว่างหนูทดลองกับมนุษย์ พบว่ามีความเหมือนกัน ๙๙% แสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติได้คัดเลือกให้โปรตีนนี้ยังคงทำหน้าที่ในการกระตุ้นภาวะซึมเศร้า

แล้วประโยชน์ของภาวะซึมเศร้าล่ะ? แน่นอนว่าคนที่มีภาวะซึมเศร้าจะเคร่งเครียดและคิดจดจ่ออยู่แค่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออาจเรียกได้ว่าการ "หมักบ่ม" (rumination - รากศัพท์เดียวกับคำว่า ruminant ที่หมายถึง "สัตว์เคี้ยงเอื้อง" ซึ่งจะได้สารอาหารที่ต้องการจากการมหักบ่มอาหารในกระเพาะ) นักวิจัยหลายคณะยังพบว่า ภาวะซึมเศร้าส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของสมอง โดยในช่วงของการวิเคราัะห์ ปัญหาที่ซับซ้อนจะถูกแยกย่อยออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แล้วค่อยๆ ถูกนำมาพิจารณาทีละชิ้นๆ ซึ่งแน่นอนว่ามีประสิทธิภาพ และให้ผลที่น่าพึงใจมากกว่าการตัดสินใจอย่างลวกๆ คำอธิบายนี้ถูกยืนยันด้วยคะแนนของแบบทดสอบอัจฉริยะภาพของบุคคลสองกลุ่ม พบว่า กลุ่มบุคคลที่มีภาวะซึมเศร้าระหว่างทำแบบทดสอบจะได้คะแนนดีกว่าในข้อที่มีความซับซ้อน

เราทุกคนต่างรู้ดีว่า ตอนลงมือทำข้อสอบที่ยากๆ เราต้องใช้สมาธิมากขนาดไหน และการไม่ถูกรบกวนก็เป็นสิ่งจำเป็น

จากการศึกษาพบว่า เซลล์ประสาทในสมองส่วนที่มีชื่อว่า Ventrolateral prefrontal cortex (VLPFC) จะต้องถูกกระตุ้น และเกิดศักย์กิริยา (action potential - คำไทยคำนี้ ถ้าไม่ีมีภาษาอังกฤษกำกับ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยไม่มีใครรู้ว่ามันหมายถึง action potential) ตลอดเวลา ซึ่งต้องใช้พลังงานมาก เหมือนรถยนต์เวลาเร่งเครื่องที่กินน้ำมันมากกว่าปกติ ซึ่งถ้าพลังงานไม่เพียงพอก็จะเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายได้ จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า โปรตีน 5HT1a หลังจากที่ได้รับการกระตุ้นจากเซโรโทนินแล้ว มันจะทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวป้อนเชื้อเพลิง ทำให้เซลล์ประสาทใน VLPFC ทำงานได้ตามปกติ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมโปรตีน 5HT1a จึงสำคัญและถูกอนุรักษ์ไว้ในสายวิวัฒนาการ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกๆ อย่างก็ดูจะเข้าเค้า อาการที่เกิดจากภาวะซึมเศร้าแท้จริงแล้วช่วยให้เราไม่ถูกรบกวนได้โดยง่าย การแยกตัวออกมาจากสังคมทำให้เราได้มีโอกาสคิดวิเคราัห์ปัญหาคนเดียวเงียบๆ ในขณะที่คนรอบข้างกำลังให้ความสนใจในเืรื่องอื่น การเบื่ออาหารทำให้เราไม่ได้เคี้ยวและใช้ปากมากนัก ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าการเคี้ยวจะไปรบกวนกระบวนการการคิดของสมอง หรือแม้กระทั่งการด้อยสมรรถภาพทางเพศในช่วงที่ซึมเศร้า ก็ทำให้บุคคลผู้นั้นไม่ถูกเบี่ยงเบนไปจากปัญหาที่กำลังวิเคราะห์อยู่


แล้วภาวะซึมเศร้าช่วยทำให้คิดวิเคราะห์ปัญหาได้จริงๆ หรือ? ถ้าภาวะซึมเศร้าส่งผลไม่ดีต่อการแก้ปัญหาจริง กิจกรรมที่ส่งเสริมการหมักบ่ม อย่างเช่นการให้เขียนแสดงความคิดความรู้สึกในช่วงนั้นๆ ออกมา น่าจะทำให้้เราคิดวิเคราัะห์ปัญหาได้ช้าลงกว่าเดิม แต่จากการศึกษาหลายๆ ชิ้นให้ผลตรงกันข้าม การเขียนระบายความรู้สึกออกมาทำให้แก้ปัญหาได้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าจะเข้าถึงปัญหาได้มากกว่า หลักฐานอีกกลุ่มแสดงให้เห็นว่า ภาวะซึมเศร้าช่วยทำให้เราแก้ปัญหาทางสังคมที่ตัดสินใจลำบากได้ เช่นภรรยาที่มีลูกกับสามีแล้วไปพบว่าสามีมีชู้ จะทำอย่างไรระหว่างแกล้งทำเป็นไม่สนใจ หรือบังคับให้สามีเลือกระหว่างเธอกับชู้ (ซึ่งแน่นอน...เสี่ยงต่อการถูกทิ้ง) การทดลองบ่งชี้ว่า บุคคลที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าเมื่อเจอปัญหาเช่นนี้จะวิเคราัะห์ปัญหาได้ดีกว่า เพราะจะคำนึงถึงผลดีผลเสียจากตัวเลือกที่มีอยู่ มากกว่าจะตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

เมื่อผลสรุปออกมาเป็นเช่นนี้ การบำบัดบุคคลที่มีภาวะซึมเศร้าควรทำอย่างไร? เมื่อพบว่าภาวะซึมเศร้ามีผลบวกต่อการวิเคราะห์และแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน การบำบัดควรส่งเสริมให้มีการหมักบ่มปัญหาไปในทางที่ถูกที่ควร รวมถึงเข้าไปช่วยตัดสินใจ หรือชี้แนะแนวทางการแก้ปัญหา มากกว่าให้ยา หรือให้การบำบัดที่ไปยับยั้งภาวะซึมเศร้า

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า ภาวะซึมเศร้าไม่ใช่อาการผิดปกติของสมอง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่กลับเป็นกลไกที่ได้ถูกคัดเลือกไว้ให้ทำหน้าที่อย่างเฉพาะเจาะจง


---

แปลและเรียบเรียงจาก Depression's Evolutionary Roots โดย Paul W. Andrews และ J. Anderson Thomson, Jr. จากนิตยสาร Scientific American

เข้าถึงได้จาก: http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=depressions-evolutionary&page=3

09 สิงหาคม, 2552

Intimacy | Intercourse

ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ตอนนี้อายุ 22 แ้ล้ว และช่วงนี้ก็เจอญาติๆ บ่อยๆ
ก็เจอคำถามที่เกี่ยวข้องกับชีวิตอีก Phase นึงเข้ามาบ่อยๆ

เช่นเรื่องว่า จะแต่่งงานเมื่อไหร่ มีแฟนรึยัง ฯลฯ

แล้วก็เคยโดนถามพร้อมๆ กับเอก โดยพริก ว่า คิดจะแต่งงานกันมั้ย แต่งตอนอายุเท่าไหร่ ทำไมถึงอยากแต่ง

แล้วก็ได้ฟังน้องในภาคคนหนึ่งพูดเรื่องความรักของตัวเองให้ฟัง ซึ่งเป็นการพูดคุยที่เปลือย สด และเปราะบางมาก (ชุดคำพวกนี้ติดมาจากสังฆะที่เราเป็นส่วนหนึ่งอยู่)
ในขณะที่เราเองก็ยังไม่มีโอกาสได้เปราะบางกับเธอเท่าไหร่

ก็...อืม...ช่วงนี้ก็คิดบ่อยขึ้น (แต่ก็ไม่ได้บ่อยมากเท่า "วันนี้จะกินอะไรดี") นะ เกี่ยวกับภาะวะการมีความสัมพันธ์ หรือการสร้างความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ซึ่งจะพัฒนาไปเป็น "คู่ชีวิต" และ "เพื่อนชีวิต" ได้ในบั้นปลายชีวิต

ก็...ก็ยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานจริงๆ นั่นแหละ
เพราะแค่มีแฟนยังไม่เคยมีเลย

เพราะแค่ลงมือจีบยังไม่เคย (กล้า) คิดเลย

ไม่รู้ว่าคนที่มีภาวะอ้วนคนอื่นๆ จะคิดเหมือนกันป่าว
แต่จากการได้คุยกับน้องคนนึง ซึ่งรูปร่างถูกจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกัน คือไม่ใช่พวกที่เรียกว่า "หุ่นดี" "รูปร่างดี" หรือ "หน้าตาดี"
ก็พบถึงความเป็นชนกลุ่มน้อย (Minority) เหมือนๆ กัน

คือมันไม่กล้าน่ะ
ขืนลงมือจีบไป มีแต่จะผิดหวังเอาได้น่ะสิ

และรวมไปถึงการคิดว่า ไม่กล้าคิดว่าตนเองเป็นคนสำคัญ จะได้รับความสำคัญ และการเข้าไปอยู่ในใจ ในส่วนหนึ่งของคนด้วย

ก็เป็นที่มาที่ไปว่า ทำไมเราถึงซึ้งใจกับเรื่องบางเรื่องที่อาจจะดูเล็กๆ น้อยๆ มากมายนัก

อะ...เผลอนอกเรื่องไปถึง Minority ซะแล้ว

มาเข้าสู่คำที่สองชื่อบล็อกนี้เลยดีกว่า
ไม่มีไรมาก คือคำนี้โผล่ขึ้นมาตอนที่คิดถึงการมีคู่ และการแต่งงานน่ะ

โดยเฉพาะตอนที่พริกถามน่ะ...
"ส่วนหนึ่งของการอยากแต่งงานคือ อยาก Intercourse ครั้งแรกกับคนที่เรารักจริงๆ" (และเร็วๆ ด้วย (Masturbate คนเดียวจนเบื่อแล้ว))
"อยากทำให้เธอมีความสุข สุขหลายๆ ครั้งในหนึ่งคืนเลยด้วย"
ก็อยากตอบพริกไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้บอก :p

ส่วนหนึ่งก็อยากมี Intimacy กับใครสักคนที่แทบจะเรียกได้ว่า สนิทที่สุดในชีวิต จนถึงขั้นที่จะ Intercourse กันได้น่ะ

...ไม่รู้จะบ่นอะไรต่อละ 555+

ฟุ้งซ่านเนาะ ไปนอนละดีกว่า

02 สิงหาคม, 2552

Happy Friendship Day

เพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็นวันมิตรภาพ (Friendship Day)

ก็จะขออุทิศพื้นที่ส่วนหนึ่งของบล็อกนี้ให้กับมิตรภาพ

ก็...ความรู้สึก "ซึ้งใจ" ที่เกิดขึ้นล่าสุดในชีวิต มีต้นเหตุจากเมล์ที่ Copy มาให้ได้อ่านกัน

ต้นเหตุของเมล์นี้ เนื่องมาจากการชวนไปเข้าร่วมชั้นเรียนวิชา Biopsychology ของนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วิชานี้ นนท์ (เพื่อนนุ้ก ที่ตอนหลังกลายมาเป็นเพื่อนผมด้วยอีกคน) ได้รับโอกาสจากอ.น้อง (ผู้รับผิดชอบรายวิชา) ให้เข้ามาจัดการเรียนการสอน 2 คาบ คาบละ 4 ชั่วโมง
นนท์ชวนนุ้กไปพูดเรื่องงานวิจัยที่ได้ไปทำมาที่ Queensland Brain Institute, University of Queensland, Australia เป็นเวลา 3 เดือนในคาบแรก
แล้วนุ้กก็ชวนผมเข้าไปฟังด้วย

เช้าตรู่ของวันที่ 14 ก.ค. ระหว่างการเดินทางบนรถไฟฟ้า ผมจำได้ดีว่านุ้กก็ออกปากชวนให้ผมได้มีโอกาสไปสอนนิสิตด้วย
ทำให้วันที่ 21 ก.ค. ผมก็จำต้องเดินทางไปจุฬาฯ อีกครั้ง

15 ก.ค. ผมมีสอบครั้งที่ 1 ของวิชา SCID502 Cell Science
การสอบผ่านพ้นไป
การสอนก็ผ่านพ้นไป

คะแนนสอบส่วนหนึ่งที่ประกาศออกมา ไม่สู้ดีนัก (เมื่อเทียบกับผลการเรียนตอนปี 3-4)
ผมอัพเดทชีวิตตัวเอง ความรู้สึกของตัวเอง ผ่าน Twitter ตามปกติ ตามนี้:

คะแนนวิชา Cell Science ส่วนหนึ่งออกมาแล้ว...ช็อกเล็กน้อย...อืม นี่เราเรียนไม่ไหวเหรอ?

กลางดึกวันต่อมา ผมได้รับเมล์นี้ และตอบกลับเมล์นี้ และเป็นที่มาของความ "ซึ้งใจ" ล่าสุดในชีวิตผม

GmailSupakij Patthanapitoon

Halley
4 messages
Teerut Piriyapunyaporn 29 July 2009 21:49
To: Halley
Yo!
คะแนน cell science เปนไงบ้างอ่ะ..
แอบเป็นห่วงเพราะชวนโดดไปสอนตั้ง ๒ ครั้ง

นุ้ก :-)

--
Teerut Piriyapunyaporn, Undergraduate
Department of Biology, Faculty of Science, Mahidol University
Rama VI Rd. Rachathewi, Bangkok 10400 Thailand

Halley 29 July 2009 21:51
To: Teerut Piriyapunyaporn
ออน Gmail Talk จะคุยกันง่ายกว่ามั้ยอะ - -"

Halley

2009/7/29 Teerut Piriyapunyaporn <nooock@gmail.com>
[Quoted text hidden]



--
Supakij Patthanapitoon
Ph.D. student in Molecular Medicine
Faculty of Science, Mahidol University
272, Rama VI Rd. Rachathewi, Bangkok 10400 Thailand


Teerut Piriyapunyaporn 29 July 2009 22:05
To: Halley
ออนไม่สะดวกอ่ะ เนตไม่แรง
[Quoted text hidden]
--
[Quoted text hidden]

Halley 29 July 2009 22:50
To: Teerut Piriyapunyaporn
ปฐมลิขิต - เราเริ่มพิมพ์เมล์นี้ตอนประมาณ 4 ทุ่ม...

ตอบผ่านทางนี้ก็ล่าย

คะแนน Cell Science ก็เป็นคะแนน Cell Science
อ๊ะ กวนตรีนไปมั้ย

คะแนนที่ออกมาก็เป็นในส่วนที่สอบไปเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ซึ่งก็ออกมาแค่ในส่วนของอาจารย์ที่สอน 3 ท่าน (จากทั้งหมด 6 ท่านในครึ่งแรกของคอร์ส)
- Molecular Trafficking ได้ 15 จาก 20 (mean = 12.7)
- Membrane and Its Regulatory Function: Membrane Potential and Transport ได้ 13 จาก 20 (mean = 12.0)
- Cell Interaction and Communication ได้ 18 จาก 20 (mean = 13.4)

จะเห็นว่าที่ร้ายแรงหน่อยคือสองส่วนแรก ซึ่งเป็นอัตนัย
คะแนนส่วนที่สองนี่...วันนี้ไปถามมะเหมี่ยวมา มะเหมี่ยวเองก็ตกมีนไป 1 คะแนน!
พริกได้เกินมีนมา 2 คะแนน!
ก็...ไม่รู้สิ อาจารย์นทีทิพย์ตรวจข้อสอบโหดมั้ง...ทั้งๆ ที่้ข้อสอบก็ไม่ได้ยากนะ เราว่าเราก็ทำได้หมด - -" (ตัวอย่างข้อสอบก็อธิบายว่าในช่วงที่เกิด Action potential พวก Ion channels มันเปิด ปิด ยังไง มีผลต่อ Membrane potential ยังไง แล้วก็ให้อธิบายว่า Refractory period เกิดจากอะไร ซึ่งเราอธิบายละเอียดกว่าที่อาจารย์สอนในห้องอีกนะ - -")

ส่วนที่ 3 ที่ได้ 18 คะแนนเพราะเป็นปรนัย จำเอาล้วนๆ~

100% ของคะแนนวิชานี้ นอกจากสอบแล้วยังมีได้มาจาก Conference และการเข้าฟัง Special Lecture อีก

ส่วนเรื่องไปจุฬาฯ...เราไปครั้งแรกวันที่ 14 ซึ่งเป็นวันที่เค้าหยุดให้อ่านหนังสืออยู่แล้ว
ครั้งที่สองก็วันที่ 21 ซึ่งชนกับเรื่อง Cell-microbe interaction กับ Immune response (สอบวันที่ 3 สิงหานี้) ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรอะ สองเรื่องนี้ ขำๆ (ขำออกหรือขำไม่ออก เดี๋ยวก็รู้กัน :p)


ก็...ขอบคุณมากเลยที่เป็นห่วง
เราไม่เป็นอะไรมากหรอก แรกๆ พอเห็นคะแนนก็ช็อกไปตามประสา ช่วง 2 ปีหลังของชีวิตมันได้คะแนนเยอะๆ มาซะจนเคยตัวอะ พอมาเจอคะแนนเกาะมีนอีกครั้งนึงก็ตกใจ
แต่พอได้สติก็ไม่เป็นไร มันก็คงมีที่มาที่ไปสักอย่าง หรือหลายอย่างแหละที่ทำให้ได้คะแนนเท่านี้ การไปจุฬาฯ ครั้งสองครั้งไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้เราคะแนนต่ำขนาดนี้

กลับกัน เรารู้สึกดีมากที่ได้ไปจุฬาฯ และรู้สึกขอบคุณนุ้กกับนนมากที่ให้โอกาส ให้เราได้รู้จัก Neuroscience และโลกของจิตวิทยามากขึ้นไปอีกนิด แถมยังได้รู้จักกับอาจารย์น้อง ได้เปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นไปอีก
แล้วก็ขอบคุณมากที่...ภาษาแลนด์มาร์กใช้คำว่า "แบ่งปัน" การสอนให้กับเรา ให้เราได้มีโอกาสสอนวิทยาศาสตร์ให้กับกลุ่มผู้เรียนที่มีทั้งคนที่สนใจและไม่สนใจวิทยาศาสตร์ปนๆ กันไป ซึ่งก็เป็นอะไรที่ท้าทายไปอีกแบบ และได้ออกจากพื้นที่คุ้นชิน ที่แต่เดิมได้แต่สอนในสิ่งที่อยู่ใน Campbell มาสอนเรื่องที่เราเองก็ไม่ได้มีความรู้มากมายนัก ก็เป็นอีกครั้งที่เราได้นุ้กดึงออกมาทำอะไรๆ ที่ไม่เคยทำ

เราไม่เคยเสียใจที่ได้ไปจุฬาฯ
ได้คะแนน Cell Science ไม่ดี อย่างร้ายแรงที่สุดก็แค่ Regrade
แต่ถ้าไม่ได้ไปจุฬาฯ ก็คือไม่ได้ไปจุฬาฯ และเราคงนึกเสียใจถ้าไม่ได้ไปจุฬาฯ ไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ไม่ได้ฉกฉวยวันเวลาอันมีค่านี้เอาไว้

สำหรับเรา มันคงน่าเบื่อน่าดูที่จะต้องมานั่งอ่านหนังสือสอบในวันที่ 14 และนั่งเรียน Immune ในวันที่ 21
ไปเปิดโลก เปิดกะลาที่ครอบเราไว้ มันน่าสนุกกว่ากันเป็นไหนๆ :)

Halley

ป.ล.1 ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอบคุณอีกสองเรื่องได้มะ? ขอบคุณมากเลยที่กลับจากสุวรรณภูมิเป็นเพื่อนเรา (เมื่อวันที่ไปส่งนน) และนั่งรถตู้กลับจากเพชรบุรีเป็นเพื่อนเรา (เมื่อวันที่ไป Survey ค่ายรับน้อง) นุ้กอาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเรา มันโคตรยิ่งใหญ่และมีความหมายมาก
ป.ล.2 ตอบยาวอีกละ - -"
ป.ล.3 คนเลือดกรุ๊ปบี: ถ้าให้พูดต่อหน้าจะติดๆ ขัดๆ แต่ถ้าให้เขียนจดหมายหรืออีเมล์จะซึ่งกินใจ
ป.ล.4 หวังว่าคงไม่ได้รออ่านเมล์นี้อยู่หรอกนะ ถ้ารออยู่ก็ขอโทษทีที่ทำให้นอนดึก - -

2009/7/29 Halley <supakijp@gmail.com>
[Quoted text hidden]
[Quoted text hidden]


ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทาง ขอบคุณที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่โดดเดี่ยว ไม่เหงาจนเกินไปนัก
ขอบคุณที่ทำให้ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอากาศธาตุ ขอบคุณที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสารเนื้อเดียว (homogeneous) กับทุกคน
ขอบคุณที่ยอมรับในความเป็น "ฮัลเลย์" ได้
ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกับเรา

และขอให้โลกนี้ จงเต็มไปด้วยมิตรภาพ

Halley
หมู่บ้านหลักสองนิเวศน์

08 พฤษภาคม, 2552

Trust

(คัดลอกจากบันทึกการเดินทางประจำวันที่ 7 พ.ค. 2552)

วันนี้ติวเสร็จปุ๊ป เพื่อนๆ จากภาคเดียวกัน ก็ออกไปกินข้าวทันที อื่ม...ไม่มีใครรอเราเลยแฮะ...อืม ก็ไม่ได้คิดอะไรนะ...เอ๊ะ แต่ถ้าไม่ได้คิดอไรแล้วจะเก็บมาเขียนทำไม

ก็ ก็แค่คิดว่า ถ้าตอนนี้เรามี Pen, Neu, Noock หรือวุฒิอยู่ ก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็ได้เห็น และซึ้งน้ำใจในเพื่อนๆ มากขึ้น

และก็ดีใจนะ ที่วันนี้ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่เราก็ยังอยู่ได้


04 พฤษภาคม, 2552

เคียงบ่าเคียงไหล่

คิลิกเห็นแบล็คสตาร์สีหน้าไม่ค่อยดี รีบเดินไปประคองไหล่ทันที

"เป็นอะไรไป แบล็คสตาร์ ไม่สมกับเป็นนายเลย"

"หนวกหูเฟ้ย!! หุบปากเถอะ ขอยืมไหล่หน่อย"

"เออ ก็มาเพื่อทำแบบนั้นแหละ"

จาก หนังสือการ์ตูน Soul Eater เล่มที่สิบ

...

ฉันจะมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อทำแบบนั้นแหละ

12 เมษายน, 2552

ฝัน

เมื่อคืนฝันว่า...ไม่ใช่เมื้่อคืนสิ เมื่อตอนเช้าๆ สายๆ เนี่ยแหละ

ฝันว่าเราเดินทางกลับไปที่สถานีวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน จังหวัดภูเก็ต
เป็นการนัดกันไปเจอเพื่อนๆ รุ่นที่ 15 ด้วยกัน

ในฝัยก็วุ่นวายนิดหน่อย ตามประสาความฝันช่วงกลางวัน
เช่น...
ด้านหน้า ก่อนเข้าถึงสถาบัน จะต้องผ่านมหาวิทยาลัยแม่โจ้ก่อน (ซึ่งมันอยู่ตั้งเชียงใหม่! แต่ดันไปโผล่ที่ภูเก็ต)
ด้วยความขี้เกียจเดินตามเคย ฮัลเลย์เลยจ้างมอ'ไซค์หน้ามอ (แม่โจ้) วิ่งไปถึงสถาบันฯ (ซึ่งอยู่ภูเก็ต)
มอ'ไซค์ิคิดค่าบริการ 70 บาท ซึ่งในฝันคิดว่ามันแพงเกินจริง

แล้ว...แล้ว ระหว่างที่วิ่งอยู่ในแม่โจ้ ฮัลเลย์เห็นกระเป๋าตัวเองไปวางอยู่ที่โต๊ะหินม้านั่ง
แต่ไม่ทันได้ลงไปเก็บ และด้วยความขี้เกียจเดินไปหยิบหลังจากถึงสถาบันฯ แล้ว ก็เลยตัดสินใจไม่เดินลงกลับไปหยิบ ด้วยความไว้ใจว่ามันจะไม่หาย

เดินเข้าไปในสถาบันปุ๊ป ก็เจอเกือบทุกคนเลย
คนแรกที่เจอคือพี่ออม ไปย้อมผมมา เปรี้ยวเชียว
คนต่อๆ มาก็เจ้าอิฐ และคนอื่นๆ ที่จำชื่อไม่ได้ อ้อ โอก็ไปนะ

พีคของความฝันนี้อยู่ที่การกอด ทุกๆ คนดีใจที่ได้มาเจอกัน ก็กอดกันไปมา
มีความรู้สึกอบอุ่นๆ อย่างบอกไม่ถูกจากข้างใน รู้สึกดีจัง

จากนั้นก็เข้านอน เข้านอนโดยไม่กลับไปเอากระเป๋าที่ลืมทิ้งไว้อยู่ที่แม่โจ้

เชื่อมะ ตื่นเช้ามาเดินลงกลับไปเอากระเป๋า...ยังอยู่ด้วยอะ!

แล้วก็ตื่น!
ก่อนที่อะไรๆ จะเละเทะและวุ่นวายไปมากกว่านี้ - -"

09 เมษายน, 2552

วันวุ่นวาย

วันนี้ใส่เสื้อเหลืองเข้าคณะ ด้วยความไม่ทันตั้งตัวว่าเสื้อแดงจะดาวกระจายมาถึงกระทรวงการต่างประเทศ
และถึงขั้นปิดล้อมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในที่สุด

เมื่อรู้ว่าเสื้อแดงมาถึงหน้าคณะแล้ว ก็อัพเดทในทวีทเตอร์ว่า

ใส่เสื้อเหลืองมาคณะในวันที่เสื้อแดงบุกกระทรวงการต่างประเทศ

จากนั้นไม่นานก็ได้รับ SMS จากอาจารย์เอเชียว่า

Red-shirted demonstrator close the Victory Monument, and more streets. Pls check before leaving or going out. May we all have a mindful day! Take care! :-)
แล้วก็ตามมาด้วยโทรศัพท์จากพี่หนุ่ม
ตามติดมาด้วยความเป็นห่วงจากป๋อมว่าเราจะออกจากคณะไม่ได้ หาทุกทางที่จะทำให้ผมกลับบ้านได้โดยปลอดภัย

โดยรวมก็แปลกใจเล็กน้อยกับโทรศัพท์จากพี่หนุ่ม...ครั้งแรกๆ เลยมั้งที่พี่หนุ่มโทรมา และโทรมาก็เพราะเรื่องเสื้อแดงด้วย

...

ราวๆ บ่ายสี่โมง คณะวิทย์ประกาศเสียงตามสายให้พนักงานทุกคนกลับบ้านทันที
ห้องสมุดก็รีบปิด
มีทติ้งแล็บก็ยกเลิก

หลังจากนั้นไม่นาน ในขณะที่วุ่นวายอยู่กับการเช็ค และสอบถามเพื่อนๆ ในคณะ
ปูเปี้ยว เอิร์น ส้ม  ป๋อม ศิ ฯลฯ ว่าจะกลับบ้านกลับหอกันยังไง

คุณยายกวางก็โทรเข้ามา
บอกว่าวันนี้กวางมาหาหมอและจะเข้าคณะ
บอกว่าตอนนี้ (ประมาณสี่โมงครึึ่ง) ติดต่อกวางไม่ได้ กลัวว่ากวางจะเลือดร้อน บุ่มบ่ามไปทำสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อตัวเอง (และกลุ่มคนเสื้อแดง เหอๆ)

พอรู้ว่าติดต่อกวางไม่ได้เท่านั้นแหละ ความเป็นเดือดเป็นร้อนก็เ้ข้ามาแทนที่

หลงไปกับความตื่นเต้น และความสนุก (ใช่ "ความสนุก") ก็มันแลดูวุ่นวายดีนี่
หลงไปพักนึงเลย วิ่งไปทางโน้นที ทางนี้ที ไปตึก B ที ตึก N ที ชั้น 4 ชั้น 5 ชั้น 2
จะมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เหนื่อยหอบเล็กน้อยพร้อมสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารกำลังจะขย้อนกลับออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งนั่นแหละ

เช็คความ เป็น อยู่ คือ ของเพื่อนๆ ในการกลับที่พักเรียบร้อยแล้ว
กวางก็โทรติดและรู้แล้วว่าอยู่ไหนและโทรไปหายายแล้ว
โทรไปรายงานพี่หนุ่มแล้ว

ก็ได้เวลาไปกินเลี้ยงกับพี่ๆ ที่แล็บซักที เย่!

...

ระหว่างที่นั่งรถอยู่
มีสายโทรเข้า โชว์เบอร์ว่า "Private"
ก็กดรับสายไปด้วยในใจก็คิดไปพลางว่าบริัษัทไหนจะโทรมาโฆษณาหลอกกินตังค์เรา

แต่ปรากฏว่าเป็นโทรฯ ทางไกลจาก Brisbane ประเทศออสเตรเลียนู่น

สวัสดีฮัลเลย์

เสียงทักทายอันคุ้นหูดังสอดแทรกเสียงอื่นๆ ผ่านเข้ามายังโสตประสาท...
นุ้กนี่เอง

ด้วยความที่รู้มาว่าโน้ตบุ๊คเจ๊ง เลยชิงถามสารทุกข์สุกดิบไปก่อน
ก่อนทีี่จะโดนถามกลับ (เชิงตวาดเล็กๆ) ว่า

ฮัลเลย์นั่นแหละ เป็นยังไงบ้าง!

เออใช่! ลืมไปเลยว่าผมเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับตัวเองมากแค่ไหนในวันนี้

เนื้อหาที่คุยกันต่อจากนั้นจึงเป็นการอัพเดทเรื่องราวในวันนี้ ทั้งของผมและของกวางให้นุ้กฟัง
แล้วค่อยมาต่อที่การอัพเดทเรื่องราวของนุ้ก

...

โดยรวมวันนี้ก็เป็นวันที่ตื่นเต้น สนุกสนาน และน่าจดจำอีกหนึ่งวัน
อย่างน้อยก็ในฐานะที่เป็นวันที่มีคนเป็นห่วงผม

ดีใจจัง

01 เมษายน, 2552

Inter-time zone-ism

ช่วงนี้ชอบหลงบ่อยๆ...
ตัวอยู่นี่
ใจหลงไปอยู่ในอีก Time zone หนึ่ง...

แต่มัน...ไม่อยาก มันอยากกลับมาที่นี่ ตรงนี้ เวลาที่ GMT+7 นี้

มันไม่สมควร ไม่ถูกต้องที่ใจจะไปพะวงกับคนอีก Time zone หนึ่ง

ทั้งๆ ที่รู้ว่ามัน...
มันเป็นไปไม่ได้...

อยากออกชะมัด ไม่อยากเป็นชะมัด...

ก็เลยทุกข์
แต้มรูดไปสองต่อ...

เอาน่า...

This, too, shall pass

29 มีนาคม, 2552

Be Part

ยังไม่กล้าเผยแพร่ไดอารี่วันนี้เข้าบล็อกของ EETP08 เนื่องจากความไม่มั่นใจบางอย่าง ดังนั้นขอเอามาแปะไว้ที่นี่ก่อนละกัน

...

สวัสดีครับ วันนี้ฮัลเลย์จะขอพาทุกคนย้อนไปยังวันแรกๆ ของคลาส EETP08
ซึ่งเป็นครั้งแรกๆ ที่ฮัลเลย์ได้สัมผัสถึง "ความเป็นพวกเดียวกัน" เช่นกัน

จำได้กันมั้ยเอ่ยว่าเคยร่วมกันทำกิจกรรมที่ทำให้เราต้องมา Brain storming และในขณะเดียวกันก็ได้ฝึกทักษะของการฟัง ความเป็นผู้นำ-ผู้ตาม และความสามัคคีไปในตัว

กิจกรรมที่ฮัลเลย์พูดถึงก็คือ "..." (เอ่อ...คือมันไม่รู้จักชื่ออย่างเป็นทางการ)
กติกาคือให้แต่ละทีมที่แบ่งชาย-หญิงและตั้งแถวเรียงหนึ่งอยู่ที่สองฟากของห้องเรียบร้อยแล้ว มาแข่งกันเดินไปให้ยังเส้นแบ่งกึ่งกลางห้องโดยที่เท้าของทุกคนในทีมต้องติดกัน และเดินผ่านเส้นพรหมจรรย์ที่กั้นห้องไว้พร้อมกัน

หากจำกันได้ฝ่ายผู้ชายเข้าเส้นชัยได้ก่อน
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเกือบจะในทันทีตะหาก ที่ทำให้ฮัลเลย์รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน และได้รับการยอมรับว่า "เป็นส่วนหนึ่ง" ของกลุ่ม

หลังจากฝ่ายผู้ชายใช้วิธีกอดคอและกระโดดข้ามเส้นกั้นห้องไปพร้อมๆ กันแล้ว
สิ่งที่ตามมาคือการแสดงความดีใจ
ฮัลเลย์ก็ดีใจนะ...แต่ไม่รู้จะแสดงความดีใจกับคนอื่นยังไง

ก็คนอื่นเขาแปะมือกัน...ฮัลเลย์ไม่เคยทำแบบนี้ และไม่คิดว่าจะมีใครมาทำแบบนี้ด้วย
ฮัลเลย์ก็เลยดีใจแบบเงียบๆ แล้วเดินไปยืนพิงโต๊ะที่ตั้งพระพุทธรูป มองคนอื่นๆ ในทีมแปะมือแสดงความกลมเกลียวกัน ด้วยความที่อยากไปร่วมแปะมือด้วยจัง แต่ทำไม่เป็น

จนกระทั่งนุ้กหันหลังกลับมาหา ยื่นฝ่ามือแล้วเดินเข้ามา

การแปะมือระหว่างฮัลเลย์กับนุ้ก แม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีสั้นๆ
แต่กระทบใจฮัลเลย์เข้าอย่างจัง จนยืนอึ้งไปหลายวินาที

นานแค่ไหนกันนะ ที่ไม่ได้รู้สึกว่า "เป็นส่วนหนึ่ง" ของกลุ่ม จนกระทั่งตอนนั้น

คนที่ปกติตกร่องไปคิดน้อยใจตัวเองเสมอๆ ว่าไม่ค่อยเป็นคนสำัคัญ ไม่ค่อยมีความสำคัญ
ได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของทีม สามารถแสดงความดีใจได้แบบเดียวกันกับที่ทุกๆ คนทำ

ดีใจจัง

...

อื่ม...แต่ก็เห็นนะว่าผม (สังเกตสรรพนามที่เปลี่ยนไป ตอนนี้ขอพาทุกท่านกลับมาอยู่กับปัจจุบันนะครับ) ยังต้องการการยอมรับ ความรัก และการดูแลจากภายนอกอยู่

อาจารย์เอเชียบอกไว้เมื่อไม่นานมานี้ โดยอ้างอิงจากพระพุทธพจน์อีกทีว่า
"ท้ายที่สุดแล้ว การเดินทางของแต่ละคนก็โดดเดี่ยวจริงๆ"
ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของพี่นาที่ว่า
"You will finally realize that you are walking alone, if you know this, ...will you continue your journey?"

อืม...จริงๆ แล้วเราเดินทางคนเดียวนี่เนอะ...ไม่มีการเดินทางของคนสองคนเหมือนกัน

ก็อย่าไปนึกถึงอดีตอันหอมหวานกันให้มาก
ทั้งๆ ที่ความสุขมันก็อยู่ในใจเรา อยู่ ณ. ปัจจุบันขณะนี้เอง!

29 มีนาคม 2552, 20.59
ลุมพินีเพลส พระราม 3 - เจริญกรุง

28 มีนาคม, 2552

ทัน!

วันนี้ไปนั่งเล่นนอนเล่นที่ที่ทำงานของกลุ่ม CoRDial มา ก็แอบเห็นลังใส่ผลงานของวิชา EETP08 ค้นไปค้นมาก็เจอการถอดเทปการให้สัมภาษณ์ทั้งเดี่ยวและกลุ่มทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน

แล้วจะพลาดได้อย่างไร?
หยิบของตัวเองขึ้นมานั่งอ่าน...

อืม...มีหลาย Copy เพราะมีอาจารย์หลายท่านร่วมประเมินเรา

ด้านหลังกระดาษแผ่นหนึ่งมีโน้ตจดไว้เต็มหน้าด้วยดินสอ
ให้เดาก็น่าจะจดการพูดคุยเกี่ยวกับตัวเรา และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมได้ให้สัมภาษณ์ไป

ช่วงแรกก็มีอ.เอเชียอธิบายว่า Intention Experiment คืออะไร มีเรากับนุ้กที่เข้าร่วม เพราะภาษาอังกฤษค่อนข้างแข็งแรง และวิทยาศาสตร์จ๋า อยากรู้อยากเห็น ชอบทดลองอยู่แล้ว
และอธิบายผลการทดลองว่ามันก็ลดความรุนแรงได้อย่างมีนัยสำคัญ
กลางๆ ก็บอกว่าเราเนี่ยติดดูดี พูดจาดูดี ศัพท์แสงเยอะ ซับซ้อน สับสน
บอกว่าเราทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากเกี่ยวกับเรื่องโลกร้อน (ความเกี่ยวข้องกับเราและทางแก้)
อืม...จริงแฮะ - -"

ก่อนเนื้อที่หน้าแรกจะหมด พูดถึงว่าเราเวลาพูดไม่ค่อยมี Self confidence เท่าไหร่
แล้วมีต่อที่หน้าถัดไป

เปิดไปปั๊ป ก็เจอข้อความที่คล้ายๆ เหมือนสรุปว่า
เรามี Self confidence ต่ำ มี Self esteem ต่ำ

โอ้ว โดนใจจริงจัง
ตัวและใจก็หดฟีบไปเล็กน้อย
ตามมาด้วยการกร่นด่าตัวเอง อันเป็นเรื่องปกติ - -"

"ใช่สิ ก็เป็นอย่างงี้แล้วจะมี Self esteem ได้ไง"
เป็นเสียงที่ดังในหัวตอนนั้น

แล้วน้ำตาก็ทำท่าจะไหล แต่ก็หยุดได้ัทัน งุงิ
สุดท้ายก็กลับมาสู่ภาวะปกติ แต่ลึกๆ แล้วกลับมีสองคำีนี้อยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน
ก็หลงไปคิดเอาเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอมาในชีวิต
เอามา Fit กับชุดคำ "Self confidence ต่ำ Self esteem ต่ำ"

ก็ ก็ ก็
ในขณะที่กำลังทำแบบนั้น
ก็ "ทัน" และไม่ตกร่องเดิมๆ เหมือนที่เคยตกมาแล้วในสมัยที่เอาชุดคำของ "Erikson's psychological development" มามำร้ายจิตใจตัวเอง

มาคิดๆ ดู (และเพ็ญก็มาช่วยยืนยัน)
ก็เป็นการประเมินอย่างนึงนิ

มันก็แค่โดยคนกลุ่มนึง
และประเมินจากการให้สัมภาษณ์สั้นๆ

หาใช่ทั้งชีวิตของเราไม่ :-)

...

วันนี้เป็นอีกวันที่ดีเนาะ

27 มีนาคม, 2552

At the Airport Episode II: นางนวล



ขอบทะเลเงินยวง โผบินนางนวล
หากลัวคลื่นลม กระหน่ำ
ปีกกระพือบินไป หนทางกว้างไกล
หาเคยจำผิด ทิศทาง

อีกครั้ง...ที่ฉันไ้ด้กลับไปเยือนชั้นผู้โดยสารขาออกของสนามบินสุวรรณภูมิ
ด้วยความรู้สึกเดิมๆ ที่ไม่เหมือนเดิม
ด้วยการเป็นแห่งการไปเดิมๆ ที่ไม่เหมือนเดิม
ด้วยความมุ่งหมายตั้งใจเดิมๆ ที่ไม่เหมือนเดิม
ด้วยการไปส่งเพื่อน...คนเดิม ที่ไม่เหมือนเดิม

เป็นการเดินทางไกลระยะที่สองของเพื่อนสนิทฉันคนนี้
ที่แม้คณะผู้ติดตามที่ไปส่ง จะมีขนาดเล็กลงกว่าครั้งแรก
แต่ก็เล็กลงด้วยเพียงปริมาณ หาใช่คุณภาพไม่

ฉันซึ่งไปส่งเพื่อนคนนี้นเป็นครั้งที่สองแล้ว กลับไม่ได้พูดจาร่ำลาอย่างเป็นทางการเท่าไรนัก
หากแต่เป็นการสื่อสารด้วยอวจนภาษาแห่งความชื่นชมยินดี ปรารถนาดี และดีใจ
หลายครั้งที่ได้มองหน้ากัน สบตากัน 
ฉันมองเห็นความสุขเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้าเพื่อนฉัน
ฉันมองเห็นความตื่นเต้นระคนอยู่ในตัวเพื่อน และในตัวฉันเอง

ไม่ได้ไปซะหน่อย ตื่นเต้นทำไม - -"
ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าตื่นเต้น และดีใจที่ได้เห็นเพื่อนซึ่งได้เดินทางร่วมกันมาตลอด 4 ปีเต็ม
แม้จะไ่ม่ได้รู้จักมักจี่กันหรือได้คุยกันมากนักในช่วง 2 ปีแรก
แต่ 2 ปีให้หลังที่ผ่านมาก็ถือเป็น 2 ปีทอง และเพียงพอเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้ฉันเปิดรับนักเดินทางผู้นี้เข้ามาเป็น "เพื่อนสนิท" ได้อย่างสนิทใจ

สามารถแผ่ปีกกว้างท้าลมแรง ทะยานขึ้นไปสู่ความฝันของตัวเองได้อย่างสวยงาม

ช่วงเวลาไม่กี่นาทีสุดท้ายก่อนที่จะเดินผ่านเข้าประตูด่านตรวจผู้โดยสารขาออก
ฉันก็ได้รับคำอวยพรสั้นๆ เกี่ยวกับทางที่ฉันเลือกเดิน และได้ให้เวลาส่วนหนึ่งไปกับมัน
แม้จะไม่ได้พูดขอบคุณไป ณ. ตอนนั้น แต่ก็อยากขอบคุณที่ทำให้ฉันได้กลับมาถามตัวเอง ได้กลับมาหา "ราก" ความคิดของตัวอีกครั้ง

...

โบกบินเทียมฟ้า ได้มองลับตา
เจ้านั้นใฝ่หา วิถีทาง

ในระยะเวลาประมาณ 2 ปีล่าสุดของชีวิต
ฉันได้เห็น "นางนวล" มากมายหลายชีวิต
กล้าคิด กล้าฝัน กล้าแตกต่าง และกล้าลงมือทำ
จนเป็นนางนวลที่บินฉวัดเฉวียน ผาดโผน หวือหวา โดดเด่นไปกว่านางนวลอื่นๆ

นินนาท เรียนชีวะมาจนถึงปี 3 ก็ตัดสินใจลาออก และบินไปเรียนฟิสิกส์ตามความสนใจที่แท้จริง
ไผ่ อยากเป็นหมอ หลังจากจบปี 4 ก็บินไปเมืองจีน เพื่อศึกษาวิชาการแพทย์แผนจีน ซึ่งต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่...ต้องเริ่มจากเรียนภาษา และสอบเข้ามหาลัยใหม่อีกครั้ง
ปิ่น นุ้ก และอู๊ดด้า ก็ได้ไปทำแล็บที่เมืองนอกสมใจ หลังจากที่ได้ทุ่มเทเวลา แรงกาย แรงใจกับงานภาคปฏิบัติในสาขาชีววิทยามายาวนาน ทุ่มเท และตั้งใจจริง

ล้วนแล้วแต่เป็น "นางนวล" ที่ไม่ธรรมดา

ส่วน "ฉัน" เอง...
แม้จะยังไม่ได้ไปไหนในตอนนี้ หรือในเร็วๆ นี้
แม้จะได้แค่มาส่งคนนั้นทีคนนี้ที
ก็ดีใจ ที่ได้เป็นลมพยุงใต้ปีกนางนวล และเหล่ากัลยาณมิตรทั้งผอง
ให้สามารถบินขึ้นไปสูง และบินไปไกล...ตราบเท่าที่อยากจะไป

ตัวเองจะได้บินเมื่อไหร่นั้น...ตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้
แต่รู้แค่ว่า ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ ก่อนที่จะได้ออกบิน...

ฉันตั้งใจ จะเอาเยี่ยงอย่าง
ท้าทายยืนหยัด อย่างทรนง

27 มีนาคม 2552, 20.05 น.
101/30 ลุมพินีเพลส พระราม 3-เจริญกรุง

(บล็อกนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางของเพื่อนนักเดินทางผู้แสวงหาผู้ต้นพบทางเดินเฉพาะตน และ
ได้ใช้ชีวิตไปตามเส้นทางนั้น และเพลง "นางนวล" โดยวง "พลังเพลง")

21 มีนาคม, 2552

(ไม่มีชื่อเรื่อง...)

สวัสดีแก๊ป เราเอง ฮัลเลย์
คิดว่าแก๊ปคงไม่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ (เพราะแก๊ปไม่รู้จัก Blog ของเรา...แป่ววว)
แต่ยังไงก็ยังอยากเขียนถึงแก๊ปอยู่ดี :-)

ไม่รู้จะจำได้รึเปล่าว่าเรามีความรู้สึกพิเศษๆ กับแก๊ป ซึ่งเราเองก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
จะว่า "ความรัก" ก็ไม่กล้า...รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่เกินไป
เราแค่รู้สึกดีใจที่ได้เห็นแก๊ปสบายดีในทุกๆ เช้า
ติ่นเต้นเวลาได้อยู่ใกล้
และทุกข์ร้อนไปด้วยเวลาที่แก๊ปไม่สบายทั้งกายและใจ

ซึ่งเราเองก็มีให้กับเพื่อนทุกคนนะ
เพียงแต่สำหรับแก๊ป ก็จะได้รับไปในปริมาณ ความถี่ และคุณภาพที่มากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

เรายังจำได้ดีถึงวันที่แก๊ปโทรมา แล้วบอกว่า "เราไม่ใช่สเป็ค"
ซึ่งเราเองก็ทำใจมาในระดับหนึ่ง แต่ลึกๆ ก็เต็มไปด้วยความคาดหวังในสิ่งตรงข้าม
เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ได้ทำให้เราเข้าใจดีเลยล่ะ
ว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรัก หรือมีความสัมพันธ์ "เกินเพื่อน" กับใคร

แน่นอนว่าหลังจากจบผดุงกิจกันไป เราก็มีความรู้สึกแบบนี้กับคนอีกสองสามคน
แต่ไม่มีอีกเลยที่เราจะพยายามบอก หรือสื่อสารให้รู้

ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลัวความผิดหวัง กลัวว่าบอกแล้วอะไรๆ จะเปลี่ยนแปลงไป
และก็ยอมรับ (อย่างจำยอม) ว่าเป็นเพื่อนสนิท เป็นรุ่นพี่อยู่แบบนี้ ก็โชคดีมากโขอยู่แล้ว


วันนี้ได้เจอแก๊ปอีก ก็ดีใจมากๆ ที่เห็นแก็ปยังร่าเริงและสบายดี
แถมยังน่ารักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
และหนึ่งในเหตุผลที่สุดท้ายก็ชวนแก๊ปนั่งแท็กซี่กลับบ้านด้วยกัน
ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากจะิิอยู่ใกล้แก๊ปให้ได้นานที่สุด

ถ้าขอพรได้สักหนึ่งข้อ คงไม่ขอให้เราเป็นอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเป็นอย่างนี้มันก็ดีที่สุด สมบูรณแบบที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ของเราจะมีได้แล้ว
ขอแค่ชาติหน้า และชาติต่อๆ ไปได้เกิดมาเป็นเพื่อนกัน เรียนด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน เติบโตมาด้วยกัน ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็พอใจแล้วล่ะ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณมากที่ทำให้เราได้รู้จักกับความรู้สึกดีดีที่เรียกว่ารัก
แม้เราอาจจะไม่ได้มาครอบครอง แต่แค่ได้สัมผัสแบบเฉียดๆ 
หรือแค่ได้เป็นสักขีพยานของความรักอันหวานชื่นของเพื่อนพ้องน้องพี่

ก็ไม่เสียดายชีวิตที่ได้เกิดมาแล้วล่ะ

Halley
22.31 น.
101/30 ลุมพินีเพลส เจริญกรุง-พระราม 3

04 มีนาคม, 2552

เพื่อนตาย - เงื่อนตาย

ฉันผูกใจไว้ในความเป็นเพื่อน
ผูกเงื่อนงดงามผูกความหมาย
ผูกความเป็นเพื่อนในเงื่อนตาย
ผูกสายรักเพื่อนในเงื่อนนี้
ต่างสายเลือดผูกได้ผูกสายร่วม
สายเลือดรวมผูกใจไว้ทุกที่
เงื่อนรักผูกไว้ผูกใยดี
โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย

วาณิช จรุงกิจอนันต์

เจอกวีบทนี้ในหนังสือ "อำลาศาลายา" ของปีนี้
ชอบจัง...ชอบตั้งแต่แรกอ่าน

รู้สึกเป็นปมที่ผูกเอาคำต่างๆ ที่เห็นแล้วโดนๆ มาไว้ด้วยกันได้อย่างสวยงาม
แม้อาจไม่สวยงามในด้านฉันทลักษณ์
แต่สำหรับฉันแล้ว...ความเป็นเพื่อน เงื่อนตาย เพื่อนรัก รักเพื่อน เงื่อนรัก รักโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อมันมาอยู่รวมกัน แล้วโผล่ปรากฏ (emerge) ขึ้นมาในความหมายใหม่นี้ ชอบแฮะ

สำหรับฉันแล้ว เป็นการยากที่จะเปิด
ทั้งเปิดตัวเอง เผยตัวเองออกมาให้คนอื่นเห็น
และเปิดใจรับความเป็นเพื่อนจากคนอื่นๆ
แต่เมื่อฉันได้ตกลงปลงใจที่จะเปิดรับใครสักคนหนึ่งในชีวิตเข้ามาเป็นเพื่อน
ประตูบานนั้นก็จะไม่เคยปิดลง มีแต่นับวันจะเปิดกว้างขึ้น

ก็คงเหมือนเงื่อนตายกระมัง
ที่เมื่อได้ผูกแล้ว จะปลดออกก็ใช่ว่าจะทำได้โดยง่าย มีแต่จะยิ่งพันกันยุ่งเหยิงอิรุงตุงนังมากยิ่งขึ้น

ฉันเปิดประตูใจให้เพื่อนเข้ามามีบทบาทต่อฉันมากขึ้น
มากจน...สำหรับเพื่อนบางคน ฉันคิดว่า ฉันสามารถตายแทนได้ โดยไม่เสียดายชีวิต

มากไปไหม?
ก็เคยคิดนะ แต่ฉันเชื่อใจ ไว้ใจ และมั่นใจมากว่า สำหรับเพื่อนที่ฉันจะตายแทนได้นั้น
เขา/เธอจะต้องเติบโตต่อไปทำอะไรดีๆ ให้กับสังคม โลก และจักรวาลนี้ได้
ซึ่งมันก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ระหว่างชีวิตฉันหนึ่งชีวิต กับความจริง/ดี/งาม ที่เขา/เธอ จะทำให้มันเหิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า

จบกันซึ้งๆ ซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยละกันเนาะ :)

11 กุมภาพันธ์, 2552

ฝัน

เมื่อคืนฝันว่า อ้วนกับผอมและเหล่าสหาย ไปเที่ยวไหนด้วยกันสักที่

ขากลับ...จำได้ว่าเป็นขากลับ

อ้อ จำได้ว่านั่งรถตู้กันไปด้วย

คนผอมนั่งหน้าคนอ้วน 

สักพักคนผอมก็ร้องไห้...

คนอ้วนเคยร้องไห้ต่อหน้าธารกำนัลมาแล้ว
และในหนึ่งหรือสองครั้ง...ก็มีคนเข้ามาโผกอด และถ่ายทอดพลังงานเมตตาและกรุณามาให้
ในช่วงเวลาที่เราเปราะบางถึงขนาดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
การกอดและพลังงานแบบนั้น...คนอ้วนต้องการมากที่สุดแล้ว

คนอ้วนจำได้ว่าคนผอมไม่เคยร้องไห้ อย่างมากก็แค่เสียงสั่นเครือบ้างเล็กน้อย

เมื่อคนผอมร้องไห้ให้คนอ้วนเห็น...ในฝัน
ไวเท่าเศษเสี้ยวของความคิด คนอ้วนโผเข้าไปโอบไหล่ และพูดปลอบใจ ให้กำลังใจ
รวมถึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการบอกเล่าเรื่องราวอันเป็นที่มาที่ไปของหยดน้ำตา

คนอ้วนดีใจ ที่ได้มีโอกาสนี้
โอกาสในการปลอบเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง

แม้แค่ในฝันก็ยังดี

แม้สาเหตุจะเป็นเพราะ "ทำกล้องดิจิตอลหาย" ก็ตามที - -"

01 กุมภาพันธ์, 2552

นิทานก่อนนอน...1

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งอ้วน คนหนึ่งผอม

อ้วนผอมลงเรือไปเที่ยวดัวยกันชาวบ้านคนอื่นๆ
คนอ้วนประสบอุบัติเหตุ มือบาดเจ็บหนักจนใช้การไม่ได้ ถึงกับต้องแวะเพื่อทำแผลที่เกาะกลางทะเล

ระหว่างเดินขึ้นสะพานจากท่าเรือเพื่อขึ่นฝั่ง
พลันชาวบ้านพูดทีเล่นทีจริงขึ้นมาว่า

"แบบนี้อ้วนก็ล้างตูดไม่ได้น่ะซี
ผอมรักเพื่อนป่าว ล้างตูดให้เพื่อนได้มั้ย?"

คนผอมยังไม่ทันพูดอะไร
คนอ้วนตีความไปว่า นายผอมคงไม่อยากล้างตูดให้ และตอนนี้คงกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ

คนอ้วนเดินผละไปจากสถานการณ์นั้นทันที...

คนอ้วนมีคำตอบสำหรับคำถามแหย่ๆ ของชาวบ้าน

ไม่ว่าคนผอมจะรู้สึกอย่างไร จะขยะแขยง หรือเต็มใจหรือไม่ถ้าต้องล้างตูดให้นายอ้วนจริงๆ
คนอ้วนรู้แต่ว่า ถ้าต้องเป็นคนอ้วนที่ต้องล้างตูดให้คนผอม

คนอ้วนพร้อมจะทำให้ ด้วยความเต็มใจ...

30 มกราคม, 2552

ปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊ว

หลายคนอาจจะคิดว่าฉันชอบกิน และกินอาหารได้ทุกชนิดบนโลกใบนี้

ไม่จริง

แม้ตอนนี้จะนึกออกอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ "แมลง" และ "แมง" ต่างๆ เป็นอาหารที่ฉันไม่กิน ออกไปในแนวขยะแขยงเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการแสดงออกในช่วงที่มีสามัญสำนึกเป็นปกติดีพร้อมทุกประการ

เชื่อไหม...มีอาหารอยู่อีกหนึ่งชนิด ที่ฉันไม่กิน

มันคือ "ผัดซีอิ๊ว"

เพียงแต่ไม่ได้เกลียดอย่างออกนอกหน้า
ฉันไม่กินผัดซีอิ๊ว ไม่ชอบ และมีอคติกับมัน จากจิตใต้สำนึก

...

ฉันกินผัดซีิอิ๊วได้ ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

แต่ถ้ามีทางเลือกอื่นๆ ล่ะก็...ขอผ่านดีกว่า

...

ฉันเห็นผัดซีอิ๊ว ฉันเห็นความไม่อร่อย

ฉันจำได้...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันในวัยประถมปลายตอนต้น

ฉันถือผัดซีอิ๊วจากแม่ครัวที่ตักใส่ชามให้
ฉันปรุงผัดซีอิ๊ว ฉันใส่น้ำตาล น้ำปลา พริกน้ำส้ม ในสัดส่วนที่ไม่เหมาัะสมกับลิ้นของฉัน
ฉันกินผัดซีอิ๊วที่ฉันปรุงด้วยตัวเองเข้าไปคำแรก...
หวานเกิน เค็มเกิน เปรี้ยวเกิน ฉันประเมินความ "เกิน" เหล่านั้นว่า "ไม่อร่อย"

ตั้งแต่วินาทีนั้น...
ผัดซีอิ๊วทุกจานในชีวิตที่ผ่านตาฉัน...ไม่อร่อย

ทั้งๆ ที่หลายจานที่ผ่านปากฉันเข้ามา รสชาติก็พอกินได้ และก็กินมันจนหมดได้ โดยไม่อาเจียนออกมาเสียก่อน
จานใหม่ที่ผ่านเข้ามา...ก็ยังไม่อร่อย

ไม่เคยมีคำว่า "อร่อย" และ "อยากกิน" สำหรับ "ผัดซีอิ๊ว" ในโลกของฉัน

...

รุ่นพี่ฉันคนหนึ่งเรียกสิ่งนี้ว่า "ปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊ว"

โลกของฉัน...ถูกสร้างขึ้น และถูกบิดเบี้ยวไป จากเหตุการณ์เพียงเหตุการณ์เดียว เพียงวินาทีเดียว
แล้วฉันก็ถือเอาวินาทีนั้น...มาเป็นชีวิตของฉัน

จากประถมปลายตอนต้นยันปี 4 ใกล้จบ

ผัดซีอิ๊วสำหรับฉัน...ยังไงก็ไม่น่าอร่อย

...

ในชีวิตมีปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊วเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน...

เต็มไปหมด...จนอนาคตข้างหน้ามองไม่เห็นอะไร นอกจากกองพะเนินของผัดซีอิ๊วที่ไม่อร่อย และอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน

เมื่อเต็มไปด้วยสิ่งของที่วางระเกะระกะ 
แล้วจะมีสิ่งใหม่ๆ ในอนาคต
มีอนาคตใหม่ๆ ทีอนาคตที่ผัดซีอิ๊วอร่อย อนาคตที่ฉันชอบกินผัดซีอิ๊ว
เกิดขึ้นได้อย่างไร?

...

ลองเข้าไปทำความรู้จัก "ปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊ว" ส่วนตัว
และปล่อยวาง "การมองโลก" ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊วดูสิ

ทำแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

อย่าลืมกลับมาแชร์นะ

Halley
101/30 Lumpini Place Rama III-Charoenkrung

23 มกราคม, 2552

อจีรัง คือโอกาส

ตั้งแต่จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลจนถึงแบคทีเรียตัวเล็กจิ๋ว
ล้วนหนีไม่พ้นความอจีรัง

อาจารย์เอเชียเล่าให้ฟังในชั้นเรียนวิวัฒนาการว่า
เมื่อเทียบเวลาตั้งแต่กำเนิดโลกจนถึงปัจจุบันยาวเท่ากับแขนคนหนึ่งข้าง โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่หัวไหล่
ตั้งแต่มนุษย์เกิดจนถึงปัจจุบัน มีความยาวเพียงขี้เล็บที่อยู่ปลายสุดของนิ้วมือเท่านั้น

แล้วถ้าลองเปลี่ยนสเกลเป็นตั้งแต่ Big Bang จนถึงตอนนี้ล่ะ?
ยุคสมัยของมนุษย์จะมีความสำคัญ และยิ่งใหญ่พอที่จะมองเห็นได้บนมาตรวัดเวลานี้รึเปล่า?

และด้วยความจริงที่ว่า อย่าว่าแต่เทหวัตถุทั่วไปอย่างดาวหาง ดาวเคราะห์ หรือดาวฤกษที่ต่างรู้ดีว่ามีวันเกิดดับเลย
แม้แต่หลุมดำ หรือจักรวาลเองก็จะถึงคราวดับไปในสักวัน

...

ก็เห็นแต่มนุษย์ ที่ไม่ค่อยจะยอมรับความอจีรังกันเท่าไหร่นัก

มนุษย์ส่วนใหญ่กินอาหารเข้าไปโดยไม่เคยรับรู้ว่า
แท้จริงแล้ว อาหารตรงหน้าก็กำลังเน่าสลายไปอย่างช้าๆ
เฉกเช่นเดียวกับผู้กิน...ไม่มีผิดเพี้ยน

หรือบางคนที่ "กลัว" ความอจีรัง
ก็ได้ใช้ทุกสิ่งเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อที่ว่าจะหยุดยั้งความอจีรังนั้นเอาไว้
ตั้งแต่มัมมี่จนถึงการโคลนนิ่ง ล้วนเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาเพื่อความกลัวอจีรังของเรา
รวมไปถึงการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความงาม ซึ่งก็เปลี่ยนนิยามและภาพลักษณ์ไปตามยุคสมัย

...

แต่มนุษย์ก็ยังมิวาย...ใช้ความโลภและทุนนิยมที่มีเป็นทุนเดิม
สบช่องใช้อจีรังมาเป็นโอกาสในการหาเงินเข้าสู่กระเป๋าตัวเอง

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ดอกซากุระเบ่งบานไล่เรียงกันไปในประเทศญี่ปุ่น
บรรยากาศเก่าๆ ของเมืองลี่เจียงและอัมพวาที่ต้องเร่งอนุรักษ์ไว้เพื่อนักท่องเที่ยว
การป้องกันเมืองสำหรับคู่รักอย่างเวนิส ไม่ให้จมน้ำไปเสียก่อน
ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ สำหรับโอกาสที่อจีรังมีให้มนุษย์มาใช้หากิน

...

ก็ได้แต่ปลงแบบเงียบๆ ไปกับความคิดของมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ถูกทุนนิยมครอบเสียจนมองโลกบิดเบี้ยวไปได้ถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับความอจีรังไปตรงๆ แต่กับใช้ช่องที่ยังมีคนหลงผิดคิดว่าอจีรังนั้นหยุดยั้งหรือหลีกเลี่ยงได้ จนมีรายได้สะพัดทั่วโลกกว่า 11 ล้านล้านบาท

ยังไม่เพียงแค่นั้น...สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรมากมายเองก็ถูกใช้ไปในการนี้

น่าขำ...ที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต้องล้มหายตายจาก หรือได้รับความเดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม จากสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้ หรืออันที่จริงแล้ว...เกือบจะเป็นความว่างเปล่า และไร้ความหมายเสียด้วยซ้ำ

...

อจีรัง คือโอกาส

หาใช่โอกาสในการสร้างไอเดียทางธุรกิจใหม่ๆ อันจะนำมาซึ่งความหายนะและล่มสลายของระบบนิเวศของทั้งโลกโดยภาพรวม

แต่เป็นโอกาสสำคัญในการระลึกถึงความอจีรังของชีวิต ยอมรับ...และเผชิญกับมันอย่างสงบ เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งจะต้องมาถึงในสักวัน