16 ธันวาคม, 2552

Reflection of the (Physically) Big Fish

หายไปนานเลยกับไดอารี่ :)
ไม่มีไรมาก ก็แค่ว่าเขียนสะท้อนถึงกิจกรรมที่ได้ไปทำมา แล้วมันโดนดี ก็เลยจะเอามาลงที่นี่ด้วย :)

ก็อปมาจาก Gmail ดื้อๆ เลยละกันเนาะ

เมื่อวานได้ไปร่วมงานภาวนาของพี่ตั้ม "เมล็ดพันธุ์ภาวนา" กับเอกมาครับ ได้ไปเจอพี่โจ (โจน จันได) ตัวจริงเสียงจริงมาด้วย ตอนท้ายพี่ตั้มก็พูดสิ่งที่โดนๆ กับตัวผม และสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ก็เลยว่าจะเขียนสะท้อนมาแบ่งปันครับ

ก่อนอื่นก็ ที่ไปนี่ก็เพราะอยากไปงานอะไรทำนองนี้ ไม่อยากหลุดออกจากวงโคจรไป (ตอนไปงานรวมพลมหกรรมโค-ตะ-ระกระบวนกร อาใหญ่พูดถึงดาวฤกษ์-ดาวเคราะห์ ผมพลันนึกถึงดาวพลูโต...ผมพอเข้าใจความรู้สึกของดาวพลูโตแล้วล่ะ) ดังนั้นพอเห็นอะไรก็ตามแนวๆ นี้ที่จัดตรงกับวันว่างของผม ก็ไม่รีรอที่จะไปเข้าร่วม สองก็อยากไปเยี่ยมบ้านตีโลปะ บ้านใหม่ของพี่ตั้ม หลังจากที่ได้เห็นแต่ภาพใน Facebook มานาน สามคือไปเยี่ยมพี่ตั้ม สี่คือไปเจอกับพี่โจน จันได ตัวเป็นๆ หลังจากเห็นทางทีวี หรือการให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่างๆ รวมถึงอาจารย์ก็เคยพูดถึง พี่โตโต้ก็เคยไปอยู่ที่สวนพันพรรณพักนึง ห้าคือจะได้ไปภาวนา และ...อืม มีอย่างอื่นอีกมั้ยนะ? นึกไม่ค่อยออกแล้ว

รูปแบบของวงเมื่อวาน ก็ไม่เชิง Dialogue มันเป็นเหมือนงานเสวนา ที่มีพี่โจเป็นวิทยากร ผนวกกับการภาวนา ที่มีพี่ตั้มเป็นคนนำซะมากกว่า เพราะอืม...ไม่ได้นั่งเป็นวงกลม (พี่โจกับพี่ตั้มนั่งหันหน้าเข้าหาผู้ฟัง ผู้ฟังหน้าหันหน้าเข้าหาพี่ตั้มกับพี่โจ) รูปแบบก็จะนำด้วยภาวนาตามแบบของพี่ตั้ม (ซึ่งไม่มีรูปแบบ) ตามด้วยการเล่าเรื่องของพี่โจ และการ...ถาม-ตอบ (จริงๆ พี่ตั้มบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ผมดูแล้วเป็นการถาม-ตอบ ระหว่างผู้เข้าร่วม กับพี่โจซะมากกว่า) รูปแบบจะเป็นแบบนี้ทั้งเช้าและบ่ายครับ


ช่วงภาวนาก็ อืม ไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ครับ ฟุ้งไปนู่นมานี่เร็วมากๆ ตามไม่ค่อยทัน แถมง่วงด้วย...สุดท้ายก็เลยนอนซะเลย (เอาหมอนรองก้นนั่นแหละ มาเท้าคางไว้ แล้วนั่งหลับ ผ่านก้นใครมาแล้วมั่งก็ม่ายรุ) นอนตื่นมาก็โอเคย์ครับ ดีขึ้น กลับมาอยู่กับตัวเองได้นานขึ้น...

เสร็จจากภาวนา (หลังจากพี่ตั้มเคาะระฆังใบหย่ายๆ) ก็เข้าสู่ช่วงของพี่โจแระ ช่วงแรกพี่โจเล่าชีวิตตัวเองให้ฟังครับ ก็รู้สึกว่าเป็นชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย ชีวิตช่วงแรกของพี่โจไม่ต่างอะไรจากคนอีสานที่หนีเข้ามาหางานทำในกทม. พี่โจเริ่มตั้งข้อสังเกตหลายๆ ข้อ เปรียบเทียบระหว่างชีวิตตัวเองกับชีวิตของคนสมัยก่อน พี่โจเริ่มรู้สึกว่ามัน "แปลกๆ" มัน "ยากจัง" ผมรู้สึกว่า ปรัชญาชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตของพี่โจ คือการกลับไปทำอะไร "ง่ายๆ" แบบธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป พี่โจเริ่มกลับไปทำการเกษตรแบบไม่พึ่งสารเคมี (จริงๆ แล้วช่วงนี้พี่โจก็เล่าเรื่องให้ฟังถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "ทุนนิยม" กับ "ความมั่นคงทางอาหาร" (พี่โจไม่ได้ใช้คำนี้ แต่ผมขอใช้คำนี้ ผมชอบคำว่า Food Security) ให้ฟังมากมาย) เริ่มสร้างบ้านดิน พี่โจรู้สึกว่า แม้แต่บ้านดินก็ยังสร้างง่าย พี่โจมีบ้านเป็นของตัวเองภายในเวลา ๓ เดือน จากนั้นมาก็เลยสร้างทุกปี ปีละหลัง พี่โจรู้สึกว่า อยู่แบบนี้ มันก็อยู่ได้ ปลูกผักปลูกข้าวเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ เก็บไว้กินเอง เหลือก็ขาย (ออกแนวเศรษฐกิจพอเพียง แต่ผมคงไม่พูดคำนี้ออกมาบ่อยๆ 555+)
จากนั้นก็มีคนถามนู่นถามนี่ คำถามกว่าครึ่งเป็นเรื่องของ "วิธีการ" ส่วนคำถามก็น่าสนใจอย่าง "การเผชิญหน้ากับเรื่องราวซ้ำๆ เดิมๆ" ซึ่งนำให้พี่โจได้เล่าโจทย์ชีวิตเท่าที่เคยผ่านมาให้ฟัง
พี่โจเล่าถึงเรื่องที่พี่โจกลัวผี แรกๆ ก็กลัว กลัวจนนอนไม่หลับ แต่พี่โจ "เผชิญหน้า" กับมัน โดยการ...ไปอยู่ในป่าช้า นอนปิดไฟคนเดียว ฯลฯ ซึ่ง...สุดท้ายแล้วพี่โจก็ไม่เจอผี พี่โจก็เลยไม่กลัวผีอีกเลย เรื่องราวฟังดูง่าย แต่ผมก็รู้สึกว่า มันเคยเป็นโจทย์ที่ใหญ่มากๆ ของพี่โจ และไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ ในการ Deal กับมัน...ได้ฟังเรื่องพี่โจแล้วก็นึกถึงตัวเองขึ้นมาว่า โจทย์ที่ผมกำลัง Deal กับมัน หรือสิ่งที่มาทำให้ผมสูญเสียพลังงานไปบ่อยๆ ก็...คงไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ ในการเข้าไปจัดการ...

นอกเหนือจากนั้น พี่โจก็พูดถึงสิ่งที่น่าจะหาอ่านได้ในหนังสือ โดยเฉพาะ My Ishmael (เอกกำลังแปลเล่มนี้อยู่ ตอนนี้ครึ่งเล่มแล้วครับ!!) และ...(ผมเดาว่า) ปล้นผลิตผล ของจันทนา ศิวะ ก็น่าจะพูดในประเด็นคล้ายๆ กัน พอผมฟังพี่โจมาถึงช่วงนี้ ก็นึกย้อนไปถึง IA2B08 ว่า...เออแฮะ น่าไปเรียนรู้กับพี่โจจัง และน่าจะได้ไปบุรีรัมย์กันด้วย จะได้ไปเห็นกับตัว ทำกับมือว่า การเกษตรโดยไม่พึ่งสารเคมี และการอยู่โดยไม่พึ่งทุนนิยมนั้นมันเป็นอย่างไร

ส่วนพี่ตั้มก็แนะนำเกี่ยวกับการภาวนา โดยส่วนตัวก็ทำให้ผมเข้าใจ "แนว" ของพี่ตั้มมากขึ้น พี่ตั้มก็จะไม่แยกการภาวนาออกจากการใช้ชีวิต นักภาวนาบางคน (แอบ) มีเป้าหมายเพื่อความสงบ เพื่อนิพพาน เพื่อหลีกหนีทุกข์ แต่พี่ตั้มภาวนาเพื่อเรียนรู้สภาวะใดๆ อย่างเท่าทัน
ทำให้ผม "อ๋ออออออออออออว์" และเข้าใจที่มาที่ไปของกิจกรรมที่จัดโดยพี่ตั้มมากขึ้น คือ สืบเนื่องจากแนวคิดของพี่ตั้มเกี่ยวกับการภาวนาที่ไม่แยกออกจากชีวิต พี่ตั้มก็เลยจัดกิจกรรมที่ผนวกเอาการภาวนาเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่ (ดูเหมือน) เข้ากันไม่ค่อยได้
เช่นในงานก่อนหน้า การภาวนากับการจัดการความรุนแรง
งานนี้ก็จะเป็นการภาวนากับเรื่องราวของความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และแสดงให้เห็นถึงหนทางและเป้าหมาย (ซึ่งคือสิ่งเดียวกัน) ร่วมระหว่าง Keywords ต่างๆ ข้างต้น

สุดท้าย พี่ตั้มก็อธิบายว่าทำไมต้อง "ปลากระโดด" (ลองไปชม "ปลากระโดด" ได้ที่ http://www.tilopahouse.com/)
ปลาที่ว่ายในสายน้ำก็เหมือนพวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่ในกระแส
การว่ายทวนน้ำ การทำตัวสวนกระแส ก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา
ถ้าไม่อยากทำตามกระแส แต่เหนื่อยกับการว่ายสวนกระแส...ก็ว่ายตามน้ำไปแหละ แล้วกระโดดขึ้นมาโลดแล่นเหนือกระแสบ้างอะไรบ้าง ตามแต่เหตุปัจจัยจะเอื้ออำนวย

พี่ตั้มอาจจะพูดอะไรอีกเยอะแยะ เกี่ยวกับปลากระโดด แต่ผมจับใจความได้เท่านี้แหละ ๕๕๕+

ผมล่ะโคตรโดนกับสิ่งที่พี่ตั้มพูดเลยอะ...
ผมรู้สึกไม่โอเคย์กับลำน้ำที่ผมตัดสินใจเลือกไปแหวกว่ายเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เพราะได้เห็นว่า มันมีสายน้ำสายอื่น มีอย่างอื่นที่น่าสนใจให้ทำมากกว่ามานั่งเรียนเยอะแยะ แล้วยิ่งได้เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ครูบาอาจารย์ได้ว่ายวนอยู่ในสายน้ำเดียวกัน สายน้ำที่ได้ไหลไปสู่ผู้คนมากมาย สายน้ำที่เอื้อต่อการตื่นรู้ทั้งตนเองและผู้อื่น สายน้ำที่ได้พาให้ทุกคน ได้ใช้ชีวิต ใช้เวลาในการทำประโยชน์ให้แก่ทั้งตนเองและผู้อื่นร่วมกัน...ผมรู้สึก...อิจฉา และน้อยใจตัวเองอยู่บ่อยๆ (ความรู้สึกแง่บวกอย่าง "ชื่นชมยินดี" ก็มีนะครับ แต่ก็ปนเปไปกับความรู้สึกอื่นๆ เยอะแยะไปหใด) ที่ต้องมานั่งแหงกอยู่ในห้องเรียนสี่เหลี่ยมแคบๆ เมื่อได้รู้ว่า นุ้กกับเพ็ญกำลังไปทำอะไรดีๆ ร่วมกันกับกลุ่มจิตตปัญญาวิถีอยู่ที่ไหนสักแห่ง กำลังเข้าเวิร์กช็อปศิลปะกับพี่ผึ้ง&พี่จิ๋มที่เชียงราย ได้ถูกอาจารย์เอเชียชวนไปคุยที่นู่นที่นี่ กับคนนั้นคนนี้ ได้มาเจอกัน คุยกันบ่อยๆ ได้... ได้... ได้...ฯลฯ
หลายๆ ครั้งเพ็ญกับนุ้กเล่าประสบการณ์ในเวิร์กช็อปให้ฟัง เล่าให้ฟังว่าได้คุยอะไรกับอาจารย์บ้าง ได้รับ Assignment อะไรจากอาจารย์ หรือบางครั้งผมก็ไปสู่รู้เข้าว่าอาจารย์กำลังจะชวนนุ้กกับเพ็ญไปไหนต่อไหนอีก ผมรู้สึกว่า ผมช่างไม่คู่ควรกับสถานการณ์ ณ ตรงนั้นเลย พับผ่าสิ! แต่หลายๆ ครั้งมันก็อยู่ต่อหน้าเพ็ญ อยู่ต่อหน้านุ้ก ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการ "ยิ้มสู้" กับความรู้สึกขุ่นๆ เน่าๆ ข้างใน...

พอได้ฟังเรื่อง "ปลากระโดด" จากพี่ตั้ม ก็เหมือนได้ "แว่นตา" อันใหม่ใช้สำหรับมองโลกที่ผมเผชิญอยู่...
เนาะ...การอยู่ในสายน้ำเชี่ยวกราด การจะว่ายทวน หรือไม่ว่าย มันยากโคตรเลย...เอาเป็นว่า ก็มองหาโอกาสและความเป็นไปได้เท่าที่มี กระโดดขึ้นมาลอยอยู่เหนือน้ำบ้างก็ได้ ถ้าวันเวลาของเวิร์กช็อปหรือกิจกรรมไหนที่ตรงกับวันว่าง ก็ค่อยไปเข้าร่วม เวิร์กช็อปไหนที่ถูกชวนให้ไปช่วย และตรงกับวันว่าง ก็ไปช่วย ... ส่วนช่วงเวลาที่ต้องเรียน ต้องเตรียมตัวสอบ ต้องทำรายงาน ต้องอ่านเปเปอร์ ต้องทำแล็บ ... ก็อยู่กับมัน ทำมันให้ดีที่สุด "ทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุด" ... ใช่ ... ก็ "ตั้งใจเรียน" ตามที่นุ้กได้ให้ "ของขวัญ" เอาไว้ในปาร์ตี้วันเกิดของผม


สุดท้ายนี้
อยากบอกนุ้กกับเพ็ญว่า ขอบคุณเหลือเกิน ขอบคุณมากมายสำหรับการดูแล ขอบคุณนุ้กสำหรับการ Reply กลับผ่าน Twitter ขอบคุณที่ชวนไปเวิร์กช็อปต่างๆ ขอบคุณเพ็ญสำหรับการ "อยู่" เพื่อให้เราได้รู้ว่าจะมีคนคอยรับสายเราเสมอๆ เวลาเราอยากระบายให้ใครสักคนฟัง ขอบคุณเพ็ญที่ "ฟัง" เราตลอดมา
ที่ผ่านมาเราไม่กล้าเล่าให้ฟังว่าเรารู้สึกอย่างไร ไม่กล้าบอกถึงความรู้สึกขุ่นๆ เมื่อเรารับรู้ว่าทั้งนุ้กทั้งเพ็ญได้ไปไหนต่อไหน ได้ไปเจอะเจออะไรมาบ้างโดยไม่มีเรา โดยเราไม่มีโอกาสไปอยู่ตรงนั้น เพราะเรากลัวว่า นุ้กกับเพ็ญจะไม่เล่าให้เราฟังอีก
จากนี้ไปก็..."ขอให้เหมือนเดิม" นะ แบบนี้ดีแล้ว เราชอบมาก มันทำให้เรารู้ว่า เรายังคงมีตัวตนอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ยังเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่นุ้กกับเพ็ญนึกถึงและอยากเล่าเรื่องให้ฟังอยู่เสมอๆ
ขอบคุณที่ไม่ลืม และไม่ทิ้งกัน

Halley

ป.ล.๑ ขอบคุณนุ้กที่ทำให้เราได้เริ่มลงมือเขียน Reflection นี้ จริงๆ ตั้งใจจะเขียนอยู่แล้วล่ะ แต่ได้ Enhancer ชั้นยอดมา ก็ทำให้ตัดสินใจ "ลงมือ" เขียนได้โดยไม่ต้องคิด และมันก็ทำให้เรามั่นใจมากว่าจะมีคนคอยอ่านมัน
ป.ล.๒ เริ่มเขียนวันที่ ๑๑ แต่เขียนไม่เสร็จ มาเขียนต่อเย็นวันนี้ครับ และผมก็ไม่ได้กลับไปแก้สิ่งที่เขียนไปแล้วด้วย อย่าตกใจที่วันที่ที่อ้างอิงถึงจะดูแปลกๆ

===

ครับ...ตามนั้นแหละ :)