07 กุมภาพันธ์, 2551

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ประมาณปลายเมษายนปีที่แล้ว ในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับนิเวศวิทยาทางทะเลที่ภูเก็ต
ฉันได้รับเมล์ที่ส่งผ่าน SCMU48 Yahoo! Groups มาฉบับหนึ่ง
จดหมายอิเล็กโทรนิกส์ฉบับนั้นจ่าหน้าว่าผู้ส่งคือ Teerut Piriyapunyaporn...นุ้กอีกแล้ว
ข้อความในจดหมายก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีลิงค์ที่จะพาฉันเข้าไปใน Webpage ของ Undergraduate Research Programme (URP) ภายในคลิ้กเดียว

อืม...นุ้กบอกให้ Let's check it out
ก็เลยลอง Check it out...

อ๋อ...มันเป็นโปรแกรมทำแล็บภาคฤดูร้อน (ของฝรั่ง) ที่ห้องแล็บแห่งอ่าวใบไม้ผลิเย็นๆ (Cold Spring Harbor Laboratory)
อ๋อ...รับครั้งละ 25 คนจากทั่วโลก
"คนที่ไม่ได้เริ่มทำแล็บอย่างเราคงไม่มีสิทธิหรอกมั้ง"
ฉันคิด และความคิดก็ถูกตอกย้ำจากส่วนหนึ่งของหัวเรียงความที่ต้องส่งไปว่า

"Please include your lab experience, extracurricular activities, or another employment you believe to be relevant to your application."

ฉันเลิกฝัน...เลิกคิดว่าตัวเองจะได้เป็นหนึ่งในยี่สิบห้าคนที่มีรายชื่ออยู่บนการประกาศผล
เลิกคิดว่าตัวเองจะไปทำแล็บภาคฤดูร้อนในอ่าวใบไม้ผลิเย็นๆ
เลิกคิดแม้แต่จะเริ่มต้นเขียนใบสมัคร เขียนเรียงความ และขอร้องให้คนสองคนเขียนจดหมายแนะนำตัวให้

แล้วเวลาก็ล่วงเลยไป...

อีก 3 - 4 เดือนถัดมา ในขณะที่กำลังนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บนห้องสมุดสตางค์ฯ
นุ้กก็โผล่เข้ามาถามไถ่ความคืบหน้าทางความคิดเรื่อง URP
"เรายังไม่ได้ทำแล็บเลย ไม่รู้จะเขียนอะไรส่งไป" จำได้ว่าตอบไปประมาณนี้
ว่าแล้วนุ้กก็เปิด Perspective ของใครสักคนที่ขึ้นต้นด้วย

"As an undergraduate from Oxford University, without laboratory experience and an emerging interest in neuroscience,..."

เห...ไม่ได้ทำแล็บก็ไปได้เหรอ
ว่าแต่...ไอ้เรามันก็เป็นแค่พวกผิวเหลืองที่ไม่ได้ทำแล็บที่มาจาก Mahidol University นี่นา...
จะไปเทียบรัศมีของพวกผิวขาวจาก Oxford ได้ไง
ประหนึ่ง Olympus กับ Mariana Trench ยังไงยังงั้น

อะ...ต่างกันแค่สีผิวกับมหาวิทยาลัยที่สังกัด
ไม่ได้ทำแล็บเหมือนกัน แถมผิวเหลืองอย่างฉันเรียนหนักกว่าอยู่แล้ว
อะ...ลองฝันดูหน่อยก็แล้วกัน อุตส่าห์โดน Motivated ซะขนาดนี้
ถึงจะเป็นจริงได้ยากเสียหน่อย แต่ลองดูสักตั้งก็คงไม่เสียหายอะไร

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

ตัดสินใจพูดเรื่องนี้ให้ใครหลายคนฟัง ทั้งคนที่บ้าน ทั้งอาจารย์ที่ปรึกษา
ทั้งพี่ชายพี่สะใภ้ก็คอยตอกย้ำกันได้ทุกทีที่เจอ
อาจารย์ที่ปรึกษาก็ถามถึงทุกครั้งที่เข้าไปคุย

แต่ทุกครั้งที่มีคนอวยพร ขอให้ได้ไป...ไม่รู้ทำไม เจ็บแปลบขึ้นมาทันที (อกหักใช่ไหมอย่างนี้~)
ดูเหมือนทุกๆ คนจะคาดหวังกับฉันมากจัง...มากเกินไป
นุ้กเองก็เอ่ยให้ได้ยินบ่อยขึ้น ถามจังว่า "ฮัลเล่ย์เขียนใบสมัครยัง"
ความอยากไปเริ่มมีแล้ว ความฝันเริ่มตั้งเค้า
แต่มันก็ยังไม่มีอะไรจะเขียนอยู่ดีนี่

ก็เป็นซะได้อย่างนี้ และด้วยนิสัยเสียส่วนตัว กว่าจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างก็เข้าสู่ช่วงปีใหม่

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

น่าแปลก ยิ่งเข้าใกล้วันที่ต้องส่งใบสมัคร ความตื่นเต้นก็หดหาย
อะไรๆ ที่น่าจะคลี่คลายก็กลับยิ่งรัดแน่น เหมือนปมเชือกที่ค่อยๆ ถูกดึงแน่นขึ้น แน่นขึ้น แน่นขึ้น...
เรียงความที่ต้องเขียนส่ง ก็ยังว่างเปล่าอยู่จวบจนถึงวันเกือบสุดท้ายจดหมายแนะนำตัว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับภายในวันที่ต้องไปส่งไปรษณีย์

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

คืนก่อนวันกำหนดส่งไปรษณีย์...กับเรียงความที่ยังไม่สมบูรณ์

จะนอน...แล้วส่งช้า คิดในแง่ดีว่าสมมติฐานของนุ้กถูก
หรือจะเขียนซึ่งก็มองไม่เห็นทางที่จะได้รับจดหมายแนะนำตัวครบในวันรุ่งขึ้นเช่นกัน

ถ้าได้รับจดหมายแนะนำตัวไม่ทัน ก็ต้องส่งช้าอยู่ดี
แล้วถ้าอุตส่าห์เขียนดีๆ ไป แต่ส่งไม่ได้ ก็ค่าเท่ากัน
แต่ แต่ แต่ว่า...ถ้าได้รับจดหมายแนะนำตัวครบภายในพรุ่งนี้ แล้วเรียงความไม่เสร็จ
ความกรุณาที่อาจารย์มอบให้...มันก็ไร้ค่าเหมือนกันน่ะสิ

ว่าแล้วก็นึกถึงชื่อ MSN ของนุ้กที่บอกประมาณว่า
"ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพระเจ้า"
ซึ่งก็ไปคล้องกับสิ่งที่อาจารย์เคยบอกไว้

เออแห่ะ...งั้นลองทำในสิ่งที่ตนเองทำได้ให้ดีที่สุดไปเลยละกัน
แล้วพรุ่งนี้...ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พระเจ้าจะบันดาลให้จดหมายแนะนำตัวทั้งสองฉบับส่งมาถึงมือฉันหรือไม่ก็ช่างหัวมัน
ฉันรู้แค่วันนี้ แค่คืนนี้ฉันทำเต็มที่ แล้วที่เหลือ...ก็ปล่อยให้มันเป็นไป...ตามเหตุ และปัจจัย

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

มีอุปสรรคขวากหนาม และด้วยความพยายามอีกเล็กน้อย
พระเจ้าก็ทอยลูกเต๋า ส่งจดหมายแนะนำตัวมาให้ฉันได้ครบทั้งสองฉบับ

เอาล่ะ...ได้เวลานำ "ฝัน" นำความเครียดทั้งหมด นำอะไรต่อมิอะไรที่ประสบพบเจอและสะสมมาเป็นแรมปี ไปส่งให้ถึงห้องแล็บเย็นๆ แห่งอ่าวฤดูใบไม้ผลิแล้ว...

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

ขากลับจาก FedEx สาขานานา
ไม่รู้อะไรดลใจ อยู่ดีๆ คลื่นวิทยุสมองก็ส่งเพลง "รางวัลแด่คนช่างฝัน" เข้ามา
ฉันร้องตามเสียงเพลง คอร์ด ทำนอง และเนื้อร้องที่คุ้นเคย...จนมาสะดุดเข้ากับท่อนฮุก

"บนทางเดินที่มีขวากหนาม ถ้าเธอคร้ามถอยไปฉันคงเก้อ
ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ เพียงตัวเธอไม่หนีไปเสียก่อน"

ใช่เลย...ใช่จริงๆ ด้วย
ในช่วงเวลาที่ฉันคิด "คร้ามถอยไป..."
ความช่วยเหลือและสิ่งเกื้อหนุนต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาหาฉัน "...ก็คงเก้อ"

เสมือนว่าลอยคออยู่กลางทะเล
ถ้าจะเข้าฝั่ง จะรอให้ฟ้าให้ฝนให้คลื่นให้ลมคอยพัดพาเข้าฝั่งอย่างเดียวก็ดูกระไรอยู่
ยังไงเสีย...ถ้าไม่ออกแรงว่ายเสียบ้าง สุดท้ายก็คงกลายเป็นแค่ก้อน Nutrient ที่รอให้สัตว์กินซากและผู้ย่อยสลายมาจัดการไป

ยิ่งคิดได้แบบนี้ ก็ยิ่งสะใจที่เขียนเรียงความเสร็จพร้อมส่ง
พร้อมรับความช่วยเหลือและเกื้อหนุนจากคนรอบๆ ตัว ผลักดันให้ซองใส่ฝันซองนั้นบินไปจนถึงนิวยอร์ก
และในขณะเดียวกัน ก็ดีใจที่รอบตัวมีความช่วยเหลืออยู่มาก...มากจนฉันเอง...ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน


...



ถ้าไม่เริ่มต้น "ช่างฝัน" ก็คงไม่เจอประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้
ร้องเพลงเพลงนี้ให้คนอื่นมาก็มาก แต่แล้วก็เพิ่งเข้าใจ
นี่สินะ...ที่เขาเรียกว่า..."รางวัลแด่คนช่างฝัน"

ป.ล. ตกค้างจาก Check out ครั้งที่แล้ว แต่อยากแบ่งปันให้ทุกคนได้ "ช่างฝัน" แล้ว "เป็น" อย่างที่ฝันซะ แต่ก็อย่าลืมที่จะ "วางใจ" ไปกับในสิ่งที่เราไปยุ่งอะไรกับมันไม่ได้ด้วยล่ะ