30 มกราคม, 2552

ปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊ว

หลายคนอาจจะคิดว่าฉันชอบกิน และกินอาหารได้ทุกชนิดบนโลกใบนี้

ไม่จริง

แม้ตอนนี้จะนึกออกอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ "แมลง" และ "แมง" ต่างๆ เป็นอาหารที่ฉันไม่กิน ออกไปในแนวขยะแขยงเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการแสดงออกในช่วงที่มีสามัญสำนึกเป็นปกติดีพร้อมทุกประการ

เชื่อไหม...มีอาหารอยู่อีกหนึ่งชนิด ที่ฉันไม่กิน

มันคือ "ผัดซีอิ๊ว"

เพียงแต่ไม่ได้เกลียดอย่างออกนอกหน้า
ฉันไม่กินผัดซีอิ๊ว ไม่ชอบ และมีอคติกับมัน จากจิตใต้สำนึก

...

ฉันกินผัดซีิอิ๊วได้ ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

แต่ถ้ามีทางเลือกอื่นๆ ล่ะก็...ขอผ่านดีกว่า

...

ฉันเห็นผัดซีอิ๊ว ฉันเห็นความไม่อร่อย

ฉันจำได้...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันในวัยประถมปลายตอนต้น

ฉันถือผัดซีอิ๊วจากแม่ครัวที่ตักใส่ชามให้
ฉันปรุงผัดซีอิ๊ว ฉันใส่น้ำตาล น้ำปลา พริกน้ำส้ม ในสัดส่วนที่ไม่เหมาัะสมกับลิ้นของฉัน
ฉันกินผัดซีอิ๊วที่ฉันปรุงด้วยตัวเองเข้าไปคำแรก...
หวานเกิน เค็มเกิน เปรี้ยวเกิน ฉันประเมินความ "เกิน" เหล่านั้นว่า "ไม่อร่อย"

ตั้งแต่วินาทีนั้น...
ผัดซีอิ๊วทุกจานในชีวิตที่ผ่านตาฉัน...ไม่อร่อย

ทั้งๆ ที่หลายจานที่ผ่านปากฉันเข้ามา รสชาติก็พอกินได้ และก็กินมันจนหมดได้ โดยไม่อาเจียนออกมาเสียก่อน
จานใหม่ที่ผ่านเข้ามา...ก็ยังไม่อร่อย

ไม่เคยมีคำว่า "อร่อย" และ "อยากกิน" สำหรับ "ผัดซีอิ๊ว" ในโลกของฉัน

...

รุ่นพี่ฉันคนหนึ่งเรียกสิ่งนี้ว่า "ปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊ว"

โลกของฉัน...ถูกสร้างขึ้น และถูกบิดเบี้ยวไป จากเหตุการณ์เพียงเหตุการณ์เดียว เพียงวินาทีเดียว
แล้วฉันก็ถือเอาวินาทีนั้น...มาเป็นชีวิตของฉัน

จากประถมปลายตอนต้นยันปี 4 ใกล้จบ

ผัดซีอิ๊วสำหรับฉัน...ยังไงก็ไม่น่าอร่อย

...

ในชีวิตมีปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊วเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน...

เต็มไปหมด...จนอนาคตข้างหน้ามองไม่เห็นอะไร นอกจากกองพะเนินของผัดซีอิ๊วที่ไม่อร่อย และอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน

เมื่อเต็มไปด้วยสิ่งของที่วางระเกะระกะ 
แล้วจะมีสิ่งใหม่ๆ ในอนาคต
มีอนาคตใหม่ๆ ทีอนาคตที่ผัดซีอิ๊วอร่อย อนาคตที่ฉันชอบกินผัดซีอิ๊ว
เกิดขึ้นได้อย่างไร?

...

ลองเข้าไปทำความรู้จัก "ปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊ว" ส่วนตัว
และปล่อยวาง "การมองโลก" ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากปรากฏการณ์ผัดซีอิ๊วดูสิ

ทำแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

อย่าลืมกลับมาแชร์นะ

Halley
101/30 Lumpini Place Rama III-Charoenkrung

23 มกราคม, 2552

อจีรัง คือโอกาส

ตั้งแต่จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลจนถึงแบคทีเรียตัวเล็กจิ๋ว
ล้วนหนีไม่พ้นความอจีรัง

อาจารย์เอเชียเล่าให้ฟังในชั้นเรียนวิวัฒนาการว่า
เมื่อเทียบเวลาตั้งแต่กำเนิดโลกจนถึงปัจจุบันยาวเท่ากับแขนคนหนึ่งข้าง โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่หัวไหล่
ตั้งแต่มนุษย์เกิดจนถึงปัจจุบัน มีความยาวเพียงขี้เล็บที่อยู่ปลายสุดของนิ้วมือเท่านั้น

แล้วถ้าลองเปลี่ยนสเกลเป็นตั้งแต่ Big Bang จนถึงตอนนี้ล่ะ?
ยุคสมัยของมนุษย์จะมีความสำคัญ และยิ่งใหญ่พอที่จะมองเห็นได้บนมาตรวัดเวลานี้รึเปล่า?

และด้วยความจริงที่ว่า อย่าว่าแต่เทหวัตถุทั่วไปอย่างดาวหาง ดาวเคราะห์ หรือดาวฤกษที่ต่างรู้ดีว่ามีวันเกิดดับเลย
แม้แต่หลุมดำ หรือจักรวาลเองก็จะถึงคราวดับไปในสักวัน

...

ก็เห็นแต่มนุษย์ ที่ไม่ค่อยจะยอมรับความอจีรังกันเท่าไหร่นัก

มนุษย์ส่วนใหญ่กินอาหารเข้าไปโดยไม่เคยรับรู้ว่า
แท้จริงแล้ว อาหารตรงหน้าก็กำลังเน่าสลายไปอย่างช้าๆ
เฉกเช่นเดียวกับผู้กิน...ไม่มีผิดเพี้ยน

หรือบางคนที่ "กลัว" ความอจีรัง
ก็ได้ใช้ทุกสิ่งเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อที่ว่าจะหยุดยั้งความอจีรังนั้นเอาไว้
ตั้งแต่มัมมี่จนถึงการโคลนนิ่ง ล้วนเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาเพื่อความกลัวอจีรังของเรา
รวมไปถึงการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความงาม ซึ่งก็เปลี่ยนนิยามและภาพลักษณ์ไปตามยุคสมัย

...

แต่มนุษย์ก็ยังมิวาย...ใช้ความโลภและทุนนิยมที่มีเป็นทุนเดิม
สบช่องใช้อจีรังมาเป็นโอกาสในการหาเงินเข้าสู่กระเป๋าตัวเอง

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ดอกซากุระเบ่งบานไล่เรียงกันไปในประเทศญี่ปุ่น
บรรยากาศเก่าๆ ของเมืองลี่เจียงและอัมพวาที่ต้องเร่งอนุรักษ์ไว้เพื่อนักท่องเที่ยว
การป้องกันเมืองสำหรับคู่รักอย่างเวนิส ไม่ให้จมน้ำไปเสียก่อน
ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ สำหรับโอกาสที่อจีรังมีให้มนุษย์มาใช้หากิน

...

ก็ได้แต่ปลงแบบเงียบๆ ไปกับความคิดของมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ถูกทุนนิยมครอบเสียจนมองโลกบิดเบี้ยวไปได้ถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับความอจีรังไปตรงๆ แต่กับใช้ช่องที่ยังมีคนหลงผิดคิดว่าอจีรังนั้นหยุดยั้งหรือหลีกเลี่ยงได้ จนมีรายได้สะพัดทั่วโลกกว่า 11 ล้านล้านบาท

ยังไม่เพียงแค่นั้น...สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรมากมายเองก็ถูกใช้ไปในการนี้

น่าขำ...ที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต้องล้มหายตายจาก หรือได้รับความเดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม จากสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้ หรืออันที่จริงแล้ว...เกือบจะเป็นความว่างเปล่า และไร้ความหมายเสียด้วยซ้ำ

...

อจีรัง คือโอกาส

หาใช่โอกาสในการสร้างไอเดียทางธุรกิจใหม่ๆ อันจะนำมาซึ่งความหายนะและล่มสลายของระบบนิเวศของทั้งโลกโดยภาพรวม

แต่เป็นโอกาสสำคัญในการระลึกถึงความอจีรังของชีวิต ยอมรับ...และเผชิญกับมันอย่างสงบ เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งจะต้องมาถึงในสักวัน

21 มกราคม, 2552

Being Accepted by Ownself

ทุกๆ คนต้องการการยอมรับ...

หลายคนแสวงหาการยอมรับจากภายนอก
รอให้ตนเองเป็น "กรรม" ของประโยค

ซึ่งจริงๆ แล้วเราสามารถเริ่มต้นยอมรับตนเองได้ตั้งแต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้
ทำให้ตนเองเป็น "ประธาน" ของประโยค

พูดง่ายเนอะ...
ทำยากจัง เป็นยากจัง

เหนื่อยกับการต่อสู้กับตัวเอง กับสิ่งที่ตัวเองไม่ไปยอมรับมัน
ไม่กล้าไปยอมรับมัน...


20 มกราคม, 2552

พระจันทร์ขี้อาย



เคยคิดกันบ้างไหมว่า แท้จริงแล้ว พระจันทร์นั้นแสนขี้อาย

ในช่วงเวลาที่ดวงดาวนับล้านพากันออกมาทอแสงระยิบระยับ

พระจันทร์กลับไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังเงาของโลก

จากนั้นจึงค่อยๆ แง้มตัวออกมาทีละน้อยๆ ในขณะที่ดวงดาวทั้งหลายพากันบอกลาท้องฟ้ายามค่ำคืนไปช้าๆ

ในที่สุดก็จะเผยความงามของตัวออกมาเต็มที่เมื่อไม่มีดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า

ทำไมกันนะ...ฉันยืนถามพระจันทร์อยู่บนสะพานลอยบนถนนพระราม 3


เธอคงสวยเกินไปกระมัง...ฉันคิด
และตามติดมาด้วยเหตุผลอีกนานับประการ

สุดแท้แต่...

คืนนั้น ฉันฝัน...

ฝันเห็นพระจันทร์เพ็ญทอแสงสีขาวนวลอยู่ท่ามกลางประกายแสงจากหมู่มิตรดารา
โดยพร้อมเพรียงกัน

Halley

07 มกราคม, 2552

บันทึกสมาธิ I

ผ่านไปแล้วกับการนั่งสมาธิครั้งแรกเป็นเวลา 15 นาที
ที่มาที่ไปของการนั่งครั้งนี้คือได้รับ Inspiration จากนุ้กและ Motivation จากอาจารย์เอเชียในเรื่องของการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
อาจารย์เอเชียบอกว่าคนรุ่นเรานี่ฐานกายอ่อนปวกเปียก บางทียังไม่ได้ทำก็เลิกทำเสียแล้ว...อืม ถ้าจะจริง
ก็เลยจะลองดูกับตัวเองอีกสักครั้ง หลังจากที่อะไรหลายๆ อย่างก่อนหน้านี้ที่เคยตั้งใจว่าจะทำอย่างจดจ่อต่อเนื่องจริงจังมันก็ล้มไป

นั่งสมาธิ ปฏิบัติ ภาวนาแบบสมถะแบบนี้ จะทำต่อไปได้สักกี่ครั้ง สักกี่วันกันนะ?
เราจะทำสถิติปฏิบัติอย่างจดจ่อต่อเนื่องได้นานเท่าไหร่?

เลิกคิด...แล้วมาทำเลยดีกว่าเนาะ ^^

...

ครั้งแรกนี้นั่งบนเตียงที่มีความแข็งพอประมาณ คือทุกทีที่ได้นั่งขัดสมาธิก็จะนั่งบนพื้นแข็ง มีหรือไม่มีเบาะรองตูด
คราวนี้ก็เลยลองนั่งบนพื้นนุ่มๆ นิดหน่อย แล้วนั่งทับหมอนตัวเอง
(เอ้อ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ตอนเด็กมีคนบอกว่านั่งทับหมอนแล้วฝีขึ้นตูด...หวาย - -")

ก็ตั้งเวลาไว้ที่ 15 นาที ในห้องไม่มีเสียงใดๆ นอกจากแอร์ที่ดังต่อเนื่อง และเข็มวินาทีที่ดังด้วยคาบ 1 วินาที
ก็เลยใช้เทคนิคการหายใจเข้า-ออกด้วยความถี่ 0.2 Hz ตามที่พี่เอ๋แนะนำ โดยนับเสียงของเข็มวินาที
นับ 1-10 ย้อนไปมา...5 วิแรกหายใจเข้า 5 วิต่อมาหายใจออก

แรกๆ ก็ไปได้ดี คล่องดี แต่ก็มีแว้บไปคิดนู่นนี่พอประมาณ คิดถึงคำพูดของอาจารย์เอเชีย คิดถึงว่าตอนนุ้กทำคนเดียวจะเป็นงี้มั้ย คิดว่าบ่ายวันนี้จะเป็นอย่างไร ฯลฯ
แต่ก็ได้เสียงของเข็มวินาที และการเคลื่อนไหวของ Rectus abdominis เป็นตัวดึงกลับมาสู่การนับลมหายใจ

ผ่านไปหน่อย ก็เริ่มเมื่อย...ตอนนี้ความคิดอีกหนึ่งสิ่งก็วิ่งเข้ามา...เมือไหร่จะหมดเวลา
อยากเหลือเกินที่จะขยับตัว อยากเหลือเกินที่จะลืมตาตื่นแล้วเลิก
ครานี้ก็ได้คำจากอาจารย์ที่แว้บเข้ามา เบรคไว้
ได้เรื่องราวของอ.หมอประเวศที่อาจารย์เอามาแชร์ให้ฟัง มาคอยกระตุ้น และให้กำลังใจตัวเองในการนั่งต่อไป

แต่มันก็เมื่อยอะ ความอดทนขาดปุ๊ปก็หลุดออกจากท่านั่งสมาธิมาตรฐาน แล้วขยับตัว ช่วงนี้การหายใจก็ไม่ใช่ 0.2 Hz ละ แถมมีหาวอีกต่างหาก
แต่ตาก็ยังปิด และยังไม่ล้มตัวลงนอนและเลิกทำ

ความรู้สึกพวกนี้ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ นะ จนกระทั่งตั้งใจไว้ว่าจะเป็นเฮือกสุดท้ายละ กลับเข้าสู่ท่านั่งมาตรฐานแล้วฝืนทำต่อ

สุดท้ายก็ได้เสียงปลุกจากโทรศัพท์เป็นระฆังบอกหมดยก!

...

ดีไม่ดี ถูกไม่ถูกไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่เมื่อยหลัง และสงบประหลาดๆ คล้ายกันกับตอนหลังจากได้นั่งสมาธิกับกลุ่ม Shambala Bangkok
ไม่รู้เหมือนกันว่าการทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะพาเราไปพบอะไร

แต่ก็จะทำต่อไป...

พร้อมๆ กับคำพูดนี้ของพี่นาโผล่ขึ้นมา

"รู้ไหม การปฏิบัติของเรา โคตรจะเพื่อเราในเบื้องต้น และโคตรจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนอื่นเรยนะ"

Halley
101/30, Lumpini Place Rama III-Charoenkrung

05 มกราคม, 2552

My "Most of the Year" 2008

มีความสุขที่สุด - ได้แบ่งปันเรื่องราว ซึ่งเป็นที่มาที่ไปของการกระทำต่างๆ เกือบทั้งชีวิต เป็นเรื่องราวที่ตัวผมเองให้ค่ามันว่าเป็น "ปมด้อย" ของชีวิต ถึงสองครั้ง ในวงเล่าเร้าพลังอันทรงคุณภาพ พร้อมด้วยการรับฟังที่มีคุณภาพ ใจที่เปิดกว้าง และในการเล่าครั้งแรก เหตุการณ์สืบเนื่องจากนั้นทำให้ผมพูดออกมาว่า "กอดอาจารย์เอเชียเหมือนกอดพ่อเลย"

เศร้าที่สุด - มีสองเหตุการณ์ปิ๊งขึ้นมาแฮะ
เรื่องแรก...ทำให้ความตั้งใจแต่แีีรกของนุ้กที่หลังจากพาคนมาชมนิทรรศการ "Earth from Above" แล้วคุยถอดบทเรียนต่อล้มไม่เป็นท่า จากการชวนวงป่วนอย่างไม่มีสติของตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้เครียด คิดมากถึงกับนอนไม่หลับ แต่ก็ได้เพลง "คืนอันเป็นนิรันดร์" และ Lindt Dark Chocolate 99% ช่วยไว้ เหตุการณ์นี้ทำให้ถึงกับคิด Drop วิชา EETP เลยทีเดียว...อืมม์ แต่ผ่านมาได้แล้ว "ทัน" ต่อการโทษตัวเองไวขึ้น และเกือบทุกครั้งก็ไหวตัวทันก่อนตกหลุมพรางแห่งจิตของตัวเองได้ :)
เรื่องที่สอง...ไม่ผ่านเข้ารอบ Stanford-Thai Exchange Programme (STEP)
ครั้งที่ XII และส่งใบสมัครไปทำแล็บที่ Cold Spring Harbor Laboratory ในโครงการ Undergraduate Research Programme (URP) ไม่ผ่าน ในเวลาอันใกล้เคียงกัน เชื่อไหมหลังจากรู้ผล STEP ซึ่งรู้ผล URP มาแล้วก่อนหน้านั้น ฮัลเลย์ถึงกับไปกึ่งนั่งกึ่งนอนร้องไห้แบบหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าห้องแล็บนิเวศวิทยา (ที่ศาลายา) กันเลยทีเดียว

ช็อคที่สุด - คำพูดของอาจารย์เอเชียที่ว่า "ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นฮัลเลย์" หลังจากผมยกมือขันอาสาเป็นคนนำกล่าว Dedication ให้กับคาบสุดท้ายในวิชา EETP เป็นช็อคในแง่ดีมากๆ ซึ่งช็อคเพราะไม่คิดว่าจะมีคนคิดอย่างนี้จริงๆ...ก็ขนาดตัวเองยังไม่คิดเลย

ดีใจที่สุด - ได้เรียนวิชาที่เปิดโดยอาจารย์เอเชียตั้งสามคลาสแน่ะ! ว้าว >.<

อับอายที่สุด - ใกล้สิ้นปีเต็มที ฮัลเลย์หอบถุงนอน หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า สะพายกระเป๋าเป้ พาดเสื้อกันหนาวอย่างหนาไว้บนบ่า วิ่งขึ้นรถไฟฟ้าช่องนนทรี ลงที่หมอชิต แล้วต่อมอ'ไซค์ไปยังสถานีขนส่ง แล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างเลิ่กลั่ก ไปที่ชานชาลา ด้วยหน้าตาที่ใครดูก็มองออกว่า "ตรูสายแล้ว!" ให้ทุกคนที่มองมาได้เห็น...- -

ตลกที่สุด - ที่อัมพวา ในค่ายสัมมนาสลึง เอกสามารถยืนยันได้ว่า เรา เอก และคณะ เล่นคำผวนทะลึ่งๆ ลามกๆ ใส่กันเกือบทั้งคืน!

ดีที่สุด - หลายๆ โมเม้นท์ที่ได้รู้ว่า ผมกับน้องปิ่นคิดตรงกัน ชอบตรงกันในหลายๆ เรื่อง

การเปลี่ยนแปลงสุดๆ - ได้ใช้ชีวิตแบบลุยๆ กะเค้าบ้าง และไม่กลัวที่จะต้องลุย!

ทรมานที่สุด - เล่าคร่าวๆ ว่าเป็นช่วงที่ปวดขี้สุดๆ แบบทะลวงออกมาแล้วหน่อยนึง แต่ฮัลเลย์ยังหาห้องน้ำไม่ได้ ต้องวิ่งวุ่นเกือบทั่วคณะวิทย์เพื่อหาส้วมที่เหมาะสมกับสัณฐานของเขา...อย่างละเอียดอ่านได้ที่ Journal ของฮัลเลย์ พี่หนุ่ม Confirm ว่าฮาจริง

กลัวที่สุด - อ.ธีราพร พันธีรานุรักษ์ ที่ปรึกษาผมเอง...

แย่ที่สุด - เกรดวิชา Developmental Biology ที่ได้แค่ B

เหนื่อยที่สุด - เขียนแผนธุรกิจในโครงการ iCare ข้ามคืน...

ภูมิใจที่สุด - เป็นหนึ่งในสี่ผู้ตามเก็บไอเท็ม Leadership ในวิชา EETP

หลอนที่สุด - ได้รับสัญญาณใดๆ ว่าบริเวณอันใกล้นั้นมีอ.ธีราพรดำรงอยู่

เสียวที่สุด - (Sexplicit ไปนิดนะ) ใช้ Lubricant...(ไปคิดต่อเอาเอง - -")

คำพูดที่ดีที่สุด - "ผมเชื่อว่าฮัลเลย์ต้องยกมือ" โดยอ.เอเชีย

คำพูดที่แย่ที่สุด - คิดไม่ออก...คงมีบ้างนิดๆ หน่อยๆ ปนกันไปแหละ แต่ไม่มีไรโดดเด่นมาให้คิดออก

SMS ที่ชอบที่สุด - เป็น SMS ที่ได้มาในวันเกิด คือทุกทีจะได้จากแก้วตา (เพื่อนสนิทตอนม.ปลาย) ตอนเที่ยงคืน...ยกเว้นปีที่แล้ว แชมป์คือนุ้ก...นุ้กส่งมาว่า
"HBD It's a good day to start to trust yourself as the world trust itself :-)"
ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันในมหาลัยคนแรกนะ ที่ส่งมาตอนเที่ยงคืนสิบเก้านาที :)

วันที่จะจำเอาไว้ - อยากจำอยู่หลายวันนะ เช่นวันที่ได้รู้ว่าลักษณะของการทำตัว Uncoachable เป็นอย่างไร คืนสุดท้ายของ EETP08+ ที่มา Reflection กัน แต่เอาล่าสุดเลยละกัน...ในคืนข้ามปีที่ผ่านมานี้เอง ในห้องพักหมายเลขสองของ Ben Guesthouse กับวงดอกอาไรข้ามปีที่คราคร่ำไปด้วยคนที่ไดอาล็อกกันมาหลายต่อหลายครั้งติดๆ กันหลายๆ วัน ก็ได้รับความมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว ว่าอย่างน้อยผมก็มีนิวกับเพ็ญเป็นเพื่อนสนิท :)

เพลงที่ชอบที่สุด - เอาตามสถิติใน iPod ละกัน...มีอยู่สองเพลงคือ "ขอบคุณกันและกัน" ของวง August และ "Le Festin" ซึ่งประกอบการ์ตูน Ratatouille
อ่ะ แถมอีกเพลง "Falling Slowly" ประกอบภาพยนตร์ once

หนังที่ปลื่มที่สุด - Wall • E, once, Into Faraway Sky, และ Kids (สองเรื่องหลังชอบเพราะเนื้อหาเกี่ยวกับเพื่อนที่กินใจมาก)

หนังที่ดูแล้วไม่เข้าใจที่สุด - ไม่มีนะ หึหึ

หนังสือที่ชอบที่สุด - ความสุขของกะทิ

รู้สึกผิดที่สุด - เรื่องราวเดียวกับ "เศร้าที่สุด"

ผิดหวังที่สุด - เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นะ แต่มันแว้บขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่กระบวนการทำโครงการ "ขจีบุฟเฟต์" มันไม่ค่อยเป็นอย่างที่คิดไว้

สถานที่ที่ไปแล้วชอบที่สุด - บ้านอาจารย์จารุพรรณ ที่เขาใหญ่ และ...แน่นอน...สนามบินสุวรรณภูมิ

อยากทำที่สุด - อยากทำแล็บ...(แต่ไม่ได้ทำ)

คิดถึงที่สุด - เพื่อน

Halley
คอนโดพระราม 3,
5.44 น., 1/5/09

ป.ล. ถือว่าเป็น Chk out ของปีที่แ้ล้วเนาะ ส่วน Chk in ของปีนี้ขอผลัดผ่อนไปก่อนเด้อ อุอิ ง่วง+มึนส์หน่อยๆ แล้ว ~.~