04 พฤศจิกายน, 2551

At the Airport Episode I: Love Actually Is All Around

"Whenever I get gloomy with the state of the world, I think about the arrivals gate at Heathrow Airport. General opinion's starting to make out that we live in a world of hatred and greed, but I don't see that. It seems to me that love is everywhere. Often it's not particularly dignified or newsworthy, but it's always there - fathers and sons, mothers and daughters, husbands and wives, boyfriends, girlfriends, old friends. When the planes hit the Twin Towers, as far as I know none of the phone calls from the people on board were messages of hate or revenge - they were all messages of love. If you look for it, I've got a sneaky feeling you'll find that...

...love actually is all around."


...

สำหรับฉันแล้ว สนามบินค่อนข้างจะเป็นสถานที่ที่พิเศษออกสักหน่อย
เป็นสถานที่ที่ฉันไปเพื่อบอกกับตัวเองว่า "ถึงส่งกันหมื่นลี้ ยังไงก็ต้องจากกัน" อยู่ที่หน้าประตูทางเข้าสถานที่ตรวจหนังสือเดินทาง ซึ่งสงวนไว้สำหรับผู้โดยสารขาออก
เป็นสถานที่ที่ฉันไปเพื่อบอกกับตัวเองว่า "กลับมาแล้วเหรอ คิดถึงจัง" อยู่ที่ลูกกรงเหล็กซึ่งกั้นไว้สำหรับผู้โดยสารขาเข้า
เป็นสถานที่ที่ฉันเดินเข้าไปเพื่อโดยสารยานพาหนะที่พาฉันโบยบินออกไปพบโลกกว้าง
และเป็นสถานที่ที่ฉันเหยียบเป็นที่แรก หลังจากเดินออกจากประตูเครื่องบิน

ในยามที่ใจกลางเมืองหลวง กำลังเกิดการเขม่นกันระหว่างสีเหลืองกับสีแดง ร่ำๆ จะเกิดการปะทะกันอยู่มะรอมมะร่อ

จะมีสักกี่คนที่แสนโชคดี ได้มาเป็นประจักษ์พยานของความรักระหว่างแม่กับลูกชายคนเดียว ญาติๆ ทั้งฝ่ายพ่อและแม่กับหลานชาย พี่ชายที่แสนดีกับลูกพี่ลูกน้อง และระหว่างเพื่อน ในช่วงเวลาราวๆ สิบนาฬิกาสามสิบนาที ที่สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้บ้างนะ

...

วันนี้ฉันโดดเรียน - ใช่..."โดดเรียน"
ออกจะเป็นเรื่องผิดปกติไปสักหน่อยสำหรับฉัน ซึ่งมีความกระเหี้ยนกระหือรืออย่างยิ่งยวดสำหรับการเรียนรู้ในวิชา "ภูมิคุ้มกันวิทยาเบื้องต้น" กับอาจารย์ที่น่ารักและใจดีเป็นอันดับต้นๆ ของภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ปกติแล้วการโดดเรียนของฉันเกิดขึ้นได้ไม่กี่สาเหตุ
แน่นอนว่าแรกๆ "ความขี้เกียจ" มาแรงแซงหน้าเหตุผลอื่นๆ
แต่เมื่อรู้ซึ้งถึงผลที่ตามมาแล้ว เหตุผลนี้ก็ตกอันดับไป
ก็ยิ่งทำให้ "การโดดเรียน" ของฉันมีความถี่น้อยลงไปอีก

และการโดดเรียนครั้งแรกของฉันในภาคเรียนสุดท้ายของปีการศึกษาสุดท้าย
ฉันยกให้กับเหตุผล "ไปส่งเพื่อน"

เพื่อนที่แบ่งปันให้ฉันฟังว่า "ชีวิตต่อจากนี้ไปอีกเจ็ดถึงแปดเดือน ได้วางแผนไว้เมื่อเจ็ดถึงแปดปีที่แล้ว"

ฉันโดดเรียนครั้งนี้ ก็เพื่อจะไปให้เห็นกับตา และเข้าถึงใจของตัวฉันเองว่า ฉันมีความสุขมากเพียงใดเมื่อได้เห็นใครสักคนได้ทำตามที่ใจฝันไว้...ให้เป็นจริงขึ้นมา

ซึ่งฉันก็สัมผัสถึงอารมณ์ และความรู้สึกนั้นได้จริงๆ เสียด้วย

...

ช่วงเวลาสุดท้ายของเพื่อนฉันก่อนที่จะไม่พบปะคนคุ้นเคยอีกสองเดือน เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรัก ที่ฉันคิดว่า หอมหวลอบอวล หวานละมุนนุ่มลิ้น และลึกซึ้งซะยิ่งกว่าวันนักบุญวาเลนไทน์ซะอีก

คุณแม่วัยกลางคนที่พร่ำเตือนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะถึงเวลาเข้าด่านตรวจหนังสือเดินทาง ประหนึ่งว่าเป็นเด็กอนุบาลที่ต้องให้คุณแม่ตามไปเช็คสภาพ ตรวจสอบความปลอดภัยทุกอย่างก่อนจะไปโรงเรียนวันแรกที่หน้าประตู 
หลายๆ ประโยคแม้ฉันจะหลุดขำ เพราะฉันว่ามันก็เป็นคำเตือนที่เกิดมาเพื่อเพื่อนของฉันจริงๆ ซึ่งมันเป็นคำเตือนที่...อื้ม ใครไม่รู้จักเขา จะไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องเตือน
ตามด้วยการโผเข้ากอดกันระหว่างแม่กับลูกชาย ที่ฉันคงต้องเบือนหน้าหนีก่อนที่น้ำตาใสๆ จะไหลล้นออกมา

ตามด้วยการกล่าวลาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า "ไปแล้วนะคร้าบ" บ้าง "ไปก่อนนะคร้าบ" บ้าง กับญาติๆ และลูกพี่ลูกน้องที่มาส่ง

แล้วจบท้ายด้วยการโอบไหล่ฉัน แล้วกล่าวขอบคุณที่มาส่ง 
ส่วนฉันได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อตอบรับและยิ้มส่งให้ คงเพราะไม่คุ้นชินกับสถานการณ์นี้ และพฤติกรรมนี้เท่าใดนัก...

ยัง! มันยังไม่เข้าไป
มันจบไม่ง่ายขนาดนั้น

พฤติกรรมการอำลาเป็นอย่างนี้กลับไปกลับมาสามครั้งเห็นจะได้

ซึ่งถ้ามีครั้งที่สี่ ฉันคงจะพูดอย่างเหลืออดว่า 
"เมื่อไหร่มรึงจะเข้า Gate ไปซะที เรามีธุระที่ต้องทำที่คณะอีกนะเฟร่ย"

ไม่รู้จะน่าดีใจหรือเสียใจดีที่ฉันไม่มีโอกาสได้พูดประโยคเด็ดนั้นออกไป

สุดท้ายและท้ายสุดจริงๆ ก็คือการโบกมือบ๊ายบายกับรอยยิ้ม
ซึึ่งเป็นพฤติกรรมการร่ำลาที่แสนจะคุ้นตา มันทำให้ฉันบ๊ายบายและยิ้มตอบได้อย่างไม่ยากเย็น

แม้จะเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ฉันกับเขาไม่สามารถเจอกันได้อีกภายในชาตินี้ ฉันก็จะไม่เสียใจ
ฉันเลือกแล้วที่จะพูดทุกอย่างให้เคลียร์ และสะสางความรู้สึกไม่ดีที่คั่งค้างมาแต่เก่าก่อนออกไปหมดแล้ว

เพราะฉันเลือกที่จะแสดงออกเสมือนหนึ่งว่า ฉันมีความเป็นไปได้ที่จะตายก่อนเขาจะกลับมา

...

เพื่อนฉันคนนี้เดินเข้าไปในส่วนที่ฉันและคนอื่นๆ ได้แต่ยืนมองเขาเดินจากไปจนลับสายตา

ไปสู่เส้นทางแห่งความใฝ่ฝันที่ฉันมั่นใจว่าแม้มันจะเหน็บหนาว
แต่เขาจะไม่มีวันหนาวเหน็บ

ก็พกความรักไปซะตุงกระเป๋าซะขนาดนั้นนี่นา

เชื่อมั้ย? อุ่นกว่าเสื้อกันหนาวขนแมวน้ำซะอีก!

...

"เมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกแย่กับสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศ ฉันคิดถึงประตูสำหรับผู้โดยสารขาออกของสนามบินสุวรรณภูมิ โดยทั่วไปคนเรามักมองว่าเราอยู่ท่ามกลางโลกที่มีแต่ความเกลียดชังและแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน ฉันมองเห็นเหมือนกับว่าความรักนั้นพบเห็นได้ทั่วไป แม้จะไม่ชัดแจ้งหรือน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ก็พบเห็นได้ตลอด - แม่กับลูกโทน ญาติกับหลานรัก พี่ชายกับน้องสาว เพื่อนสนิทกับเพื่อนสนิท เมื่อใครสักคนตัดสินใจเดินเข้าประตูไป เท่าที่ฉันรู้ไม่มีใครโทรหากันเพราะความเกลียดชังหรือความแค้น แต่เพราะความรัก ถ้าคุณได้ลองมองดูดีๆ ฉันรู้สึกอยู่ลึกๆ นะว่า ท้ายที่สุดแล้วคุณจะพบว่า...
 
...แท้จริงแล้ว ความรักก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง"


Halley, ที่บ้าน
11/04/2008, 23.53

07 กุมภาพันธ์, 2551

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ประมาณปลายเมษายนปีที่แล้ว ในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับนิเวศวิทยาทางทะเลที่ภูเก็ต
ฉันได้รับเมล์ที่ส่งผ่าน SCMU48 Yahoo! Groups มาฉบับหนึ่ง
จดหมายอิเล็กโทรนิกส์ฉบับนั้นจ่าหน้าว่าผู้ส่งคือ Teerut Piriyapunyaporn...นุ้กอีกแล้ว
ข้อความในจดหมายก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีลิงค์ที่จะพาฉันเข้าไปใน Webpage ของ Undergraduate Research Programme (URP) ภายในคลิ้กเดียว

อืม...นุ้กบอกให้ Let's check it out
ก็เลยลอง Check it out...

อ๋อ...มันเป็นโปรแกรมทำแล็บภาคฤดูร้อน (ของฝรั่ง) ที่ห้องแล็บแห่งอ่าวใบไม้ผลิเย็นๆ (Cold Spring Harbor Laboratory)
อ๋อ...รับครั้งละ 25 คนจากทั่วโลก
"คนที่ไม่ได้เริ่มทำแล็บอย่างเราคงไม่มีสิทธิหรอกมั้ง"
ฉันคิด และความคิดก็ถูกตอกย้ำจากส่วนหนึ่งของหัวเรียงความที่ต้องส่งไปว่า

"Please include your lab experience, extracurricular activities, or another employment you believe to be relevant to your application."

ฉันเลิกฝัน...เลิกคิดว่าตัวเองจะได้เป็นหนึ่งในยี่สิบห้าคนที่มีรายชื่ออยู่บนการประกาศผล
เลิกคิดว่าตัวเองจะไปทำแล็บภาคฤดูร้อนในอ่าวใบไม้ผลิเย็นๆ
เลิกคิดแม้แต่จะเริ่มต้นเขียนใบสมัคร เขียนเรียงความ และขอร้องให้คนสองคนเขียนจดหมายแนะนำตัวให้

แล้วเวลาก็ล่วงเลยไป...

อีก 3 - 4 เดือนถัดมา ในขณะที่กำลังนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บนห้องสมุดสตางค์ฯ
นุ้กก็โผล่เข้ามาถามไถ่ความคืบหน้าทางความคิดเรื่อง URP
"เรายังไม่ได้ทำแล็บเลย ไม่รู้จะเขียนอะไรส่งไป" จำได้ว่าตอบไปประมาณนี้
ว่าแล้วนุ้กก็เปิด Perspective ของใครสักคนที่ขึ้นต้นด้วย

"As an undergraduate from Oxford University, without laboratory experience and an emerging interest in neuroscience,..."

เห...ไม่ได้ทำแล็บก็ไปได้เหรอ
ว่าแต่...ไอ้เรามันก็เป็นแค่พวกผิวเหลืองที่ไม่ได้ทำแล็บที่มาจาก Mahidol University นี่นา...
จะไปเทียบรัศมีของพวกผิวขาวจาก Oxford ได้ไง
ประหนึ่ง Olympus กับ Mariana Trench ยังไงยังงั้น

อะ...ต่างกันแค่สีผิวกับมหาวิทยาลัยที่สังกัด
ไม่ได้ทำแล็บเหมือนกัน แถมผิวเหลืองอย่างฉันเรียนหนักกว่าอยู่แล้ว
อะ...ลองฝันดูหน่อยก็แล้วกัน อุตส่าห์โดน Motivated ซะขนาดนี้
ถึงจะเป็นจริงได้ยากเสียหน่อย แต่ลองดูสักตั้งก็คงไม่เสียหายอะไร

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

ตัดสินใจพูดเรื่องนี้ให้ใครหลายคนฟัง ทั้งคนที่บ้าน ทั้งอาจารย์ที่ปรึกษา
ทั้งพี่ชายพี่สะใภ้ก็คอยตอกย้ำกันได้ทุกทีที่เจอ
อาจารย์ที่ปรึกษาก็ถามถึงทุกครั้งที่เข้าไปคุย

แต่ทุกครั้งที่มีคนอวยพร ขอให้ได้ไป...ไม่รู้ทำไม เจ็บแปลบขึ้นมาทันที (อกหักใช่ไหมอย่างนี้~)
ดูเหมือนทุกๆ คนจะคาดหวังกับฉันมากจัง...มากเกินไป
นุ้กเองก็เอ่ยให้ได้ยินบ่อยขึ้น ถามจังว่า "ฮัลเล่ย์เขียนใบสมัครยัง"
ความอยากไปเริ่มมีแล้ว ความฝันเริ่มตั้งเค้า
แต่มันก็ยังไม่มีอะไรจะเขียนอยู่ดีนี่

ก็เป็นซะได้อย่างนี้ และด้วยนิสัยเสียส่วนตัว กว่าจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างก็เข้าสู่ช่วงปีใหม่

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

น่าแปลก ยิ่งเข้าใกล้วันที่ต้องส่งใบสมัคร ความตื่นเต้นก็หดหาย
อะไรๆ ที่น่าจะคลี่คลายก็กลับยิ่งรัดแน่น เหมือนปมเชือกที่ค่อยๆ ถูกดึงแน่นขึ้น แน่นขึ้น แน่นขึ้น...
เรียงความที่ต้องเขียนส่ง ก็ยังว่างเปล่าอยู่จวบจนถึงวันเกือบสุดท้ายจดหมายแนะนำตัว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับภายในวันที่ต้องไปส่งไปรษณีย์

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

คืนก่อนวันกำหนดส่งไปรษณีย์...กับเรียงความที่ยังไม่สมบูรณ์

จะนอน...แล้วส่งช้า คิดในแง่ดีว่าสมมติฐานของนุ้กถูก
หรือจะเขียนซึ่งก็มองไม่เห็นทางที่จะได้รับจดหมายแนะนำตัวครบในวันรุ่งขึ้นเช่นกัน

ถ้าได้รับจดหมายแนะนำตัวไม่ทัน ก็ต้องส่งช้าอยู่ดี
แล้วถ้าอุตส่าห์เขียนดีๆ ไป แต่ส่งไม่ได้ ก็ค่าเท่ากัน
แต่ แต่ แต่ว่า...ถ้าได้รับจดหมายแนะนำตัวครบภายในพรุ่งนี้ แล้วเรียงความไม่เสร็จ
ความกรุณาที่อาจารย์มอบให้...มันก็ไร้ค่าเหมือนกันน่ะสิ

ว่าแล้วก็นึกถึงชื่อ MSN ของนุ้กที่บอกประมาณว่า
"ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพระเจ้า"
ซึ่งก็ไปคล้องกับสิ่งที่อาจารย์เคยบอกไว้

เออแห่ะ...งั้นลองทำในสิ่งที่ตนเองทำได้ให้ดีที่สุดไปเลยละกัน
แล้วพรุ่งนี้...ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พระเจ้าจะบันดาลให้จดหมายแนะนำตัวทั้งสองฉบับส่งมาถึงมือฉันหรือไม่ก็ช่างหัวมัน
ฉันรู้แค่วันนี้ แค่คืนนี้ฉันทำเต็มที่ แล้วที่เหลือ...ก็ปล่อยให้มันเป็นไป...ตามเหตุ และปัจจัย

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

มีอุปสรรคขวากหนาม และด้วยความพยายามอีกเล็กน้อย
พระเจ้าก็ทอยลูกเต๋า ส่งจดหมายแนะนำตัวมาให้ฉันได้ครบทั้งสองฉบับ

เอาล่ะ...ได้เวลานำ "ฝัน" นำความเครียดทั้งหมด นำอะไรต่อมิอะไรที่ประสบพบเจอและสะสมมาเป็นแรมปี ไปส่งให้ถึงห้องแล็บเย็นๆ แห่งอ่าวฤดูใบไม้ผลิแล้ว...

แล้วเวลาก็ล่วงไป...

ขากลับจาก FedEx สาขานานา
ไม่รู้อะไรดลใจ อยู่ดีๆ คลื่นวิทยุสมองก็ส่งเพลง "รางวัลแด่คนช่างฝัน" เข้ามา
ฉันร้องตามเสียงเพลง คอร์ด ทำนอง และเนื้อร้องที่คุ้นเคย...จนมาสะดุดเข้ากับท่อนฮุก

"บนทางเดินที่มีขวากหนาม ถ้าเธอคร้ามถอยไปฉันคงเก้อ
ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ เพียงตัวเธอไม่หนีไปเสียก่อน"

ใช่เลย...ใช่จริงๆ ด้วย
ในช่วงเวลาที่ฉันคิด "คร้ามถอยไป..."
ความช่วยเหลือและสิ่งเกื้อหนุนต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาหาฉัน "...ก็คงเก้อ"

เสมือนว่าลอยคออยู่กลางทะเล
ถ้าจะเข้าฝั่ง จะรอให้ฟ้าให้ฝนให้คลื่นให้ลมคอยพัดพาเข้าฝั่งอย่างเดียวก็ดูกระไรอยู่
ยังไงเสีย...ถ้าไม่ออกแรงว่ายเสียบ้าง สุดท้ายก็คงกลายเป็นแค่ก้อน Nutrient ที่รอให้สัตว์กินซากและผู้ย่อยสลายมาจัดการไป

ยิ่งคิดได้แบบนี้ ก็ยิ่งสะใจที่เขียนเรียงความเสร็จพร้อมส่ง
พร้อมรับความช่วยเหลือและเกื้อหนุนจากคนรอบๆ ตัว ผลักดันให้ซองใส่ฝันซองนั้นบินไปจนถึงนิวยอร์ก
และในขณะเดียวกัน ก็ดีใจที่รอบตัวมีความช่วยเหลืออยู่มาก...มากจนฉันเอง...ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน


...



ถ้าไม่เริ่มต้น "ช่างฝัน" ก็คงไม่เจอประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้
ร้องเพลงเพลงนี้ให้คนอื่นมาก็มาก แต่แล้วก็เพิ่งเข้าใจ
นี่สินะ...ที่เขาเรียกว่า..."รางวัลแด่คนช่างฝัน"

ป.ล. ตกค้างจาก Check out ครั้งที่แล้ว แต่อยากแบ่งปันให้ทุกคนได้ "ช่างฝัน" แล้ว "เป็น" อย่างที่ฝันซะ แต่ก็อย่าลืมที่จะ "วางใจ" ไปกับในสิ่งที่เราไปยุ่งอะไรกับมันไม่ได้ด้วยล่ะ