25 กันยายน, 2552

บ่ายแห่งการเรียนรู้

มีความรู้พื้นฐานนิดหน่อยสำหรับการอ่านบล็อกนี้ให้รู้เรื่อง และเข้าใจ (แต่จะไม่อ่านก็ได้นะ)



1. ตอนนี้ผมเรียนวิชา SCID518 Generic Skills in Science Research ซึ่งจะมีหัวข้อ Fast Track in Science Databases ให้ได้ลงมือทำกันแบบ Hand-on Workshop แต่ด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร ทำให้ต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเรียนบ่ายนี้ กลุ่มที่สองเรียนพุธบ่ายหน้า

2. พี่ต๋อย เป็นชื่อที่ผมเรียกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลและเป็น TA ในรายวิชา SCID5xx ทั้งหลาย

3. พี่สา เป็นชื่อของพี่ที่เรียนป.เอก หลักสูตรพิษวิทยา ที่สนิทกัน



เอาล่ะ จบแล้ว



ต่อไปเป็นการคัดลอกเนื้อหาจากสมุดบันทึกการเดินทางของผมมาใส่ไว้ในนี้ล้วนๆ



---



ตอนนี้นั่งอยู่ในห้อง P114...ในใจกำลังครุกรุ่นไปด้วยความไม่พอใจ...กับการไม่มีที่นั่ง, กับความผิดหวังว่าจะได้นั่งเครื่องคอมพ์ 1 คน/เครื่อง (ก็เพราะจะได้ Tweet, เช็คเมล์. เข้าเว็บบอร์ดไปด้วยระหว่างเรียน...) จากนั้นก็ตามมาด้วยเหตุลและข้อ้อางต่างๆ นาๆ ที่โยนความผิด โยนความรับผิดชอบไปให้สิ่งอื่น เช่น บ่นว่าการจัดการไม่ดี, คนดูแลห่วย, ไม่เอาใจใส่เราเท่าที่ควร...บลาๆๆ จนสุดท้ายก็ต้องออกจากห้องไปเป็นการประชด ประท้วง และดื้อเงียบ ก็เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น...จะได้หาอะไรทำนอกจากมานั่งโกรธอยู่แบบนี้...ก็โอนะ...ได้ไปเจอน้องๆ ได้ไปเอาของให้อ.เอเชีย ก็ทำให้ลืมๆ ไปบ้าง...แต่พี่สาก็โทรเข้ามา ตามกลับไปเข้าเรียน...สุดท้ายก็เข้ามาในห้องอีกครั้ง ตามด้วยการนั่งลงไปกับพื้นอย่างไม่เกรงใจวิทยากรและอ.สรวง ตั้งใจว่าจะไม่เรียน...แต่ก็...

แต่พี่ต๋อยก็เข้ามา...ถามอย่างใจดี ใจเย็น และมีเมตตาว่า "จะเอาเก้าอีกปะ?" มันเหมือนไฟโทสะในใจมันดับลงไปหน่อยนึงน่ะ แล้วพี่ต๋อยก็เข้ามาคุยว่า รอบนี้มีคนจากรอบสองมาเรียนรอบนี้ด้วย...โอ...เราตัดสินคลาสนี้ไปนี่...เราตัดสินไปล่วงหน้าว่าคลาสนี้ไม่ควรมีเพราะ Resource ไม่เพียงพอต่อจำนวนนศ. และบลาๆๆ...ก็เพราะได้พี่ต๋อยแหละที่ทำให้คิดได้ และมองเห็นการตัดสินอันยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่งของเรา มองเห็นความไมรับผิดชอบต่อชีวิตและการเรียนรู้ของตัวเอง (จริงๆ อันนี้ยังไม่ชัดเท่าไหร่...)

ตราบจนชีวิตจะหาไม่ ก็คงต้องเรียนรู้ตัวเองกันต่อไป

Halley
P114
25/09/09, 13.55 น.

20 กันยายน, 2552

ผิดหวังจากความคาดหวัง

ผิดหวังจากความคาดหวัง

เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้


เป็นความคาดหวังแบบเดิมๆ
เป็นร่องเดิมๆ
เป็นอารมณ์เดิมๆ

แต่ก็ยังไม่ทัน
ยังห้ามไม่ได้
หยุดไม่อยู่
ฉุดไม่อยู่
ยั้งไว้ไม่ไหว

ทุกครั้งที่คาดหวัง
ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะผิดหวัง
(ซึ่งส่วนใหญ่ ก็จะผิดหวัง)

และพอผิดหวัง
ผลที่ตามมาคือ
เจ็บจี๊ดๆ ในใจ
ความทุกข์
และความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง

บ้างทัน บ้างไม่ทัน
บ้างเห็น บ้างไม่เห็นความ "อยาก" ออก
บ้างศิโรราบ
และบ้าง...ก็ร่ำไห้

สนุกดีนะชีวิตนี้
ดูใจเราซะสิ เป็นได้ขนาดนี้
ไม่ยอมถอยหรอก เส้นทางนี้
ก้าวเดินไปพร้อมความเจ็บปวดนี่แหละ

เป็นปม เป็นปัญหา เป็นทุกข์ที่ยุ่งเหยิงดี
แต่ทำไงได้ นี่มันตัวเรา ใจเรา ความคิดเรา...ชีวิตเรา

ปฏิเสธมัน? กำจัดมัน?
เดี๋ยวมันก็กลับมา

ก็อยู่กับมันไปน่ะแหละ
เพราะเชื่อเหลือเกินว่า
สักวันนึง...ถ้าไม่ใช่ชาตินี้...ก็คงเป็นชาติหน้า...ไม่ก็ชาติต่อๆ ไป

มันจะคลี่คลาย
ด้วยตัวของมันเอง

05 กันยายน, 2552

เพื่อนเที่ยว

นานมาแล้วผมเคยพูดถึงเพื่อนกินเอาไว้
และรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนกินดีๆ อย่างแก้วตา - เธอกินกับผมได้ทุกอย่าง และกินเยอะดี ทำให้ผมไม่นึกเกรงใจเวลาที่ต้องจ่ายตังค์แชร์ค่ากินกับเธอ

คราวนี้ ช่วงครึ่งหลังของชีวิตป.ตรี และจนถึงบัดเดี๋ยวนี้...ผมนึกอยากมีเพื่อนเที่ยวกับเค้าซะแล้วซี

คำว่า "เที่ยว" ในที่นี้ ก็ไม่พ้นเรื่องเที่ยวกลางคืนน่ะแหละ

จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเที่ยวนะ แต่ก็รู้สึกว่าเที่ยวน้อยไป ทั้งในเชิงคุณภาพ และปริมาณ

โอเค...มันไม่ดีหรอก ผิดศีล และการพาตัวเองไปในสถานที่อโคจรก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นกุศลซะเท่าไหร่
แต่เรื่องหลายๆ เรื่องมันก็อยู่เหนือเหตุผลและศีลธรรม - ก็ Id มันทำงานข่มทับ Superego นี่นา...

เรื่องของเรื่องที่ทำให้เรื่องนี้มันเป็นประเด็นขึ้นมา คือ คืนหนึ่ง หลังจากกลับจากบ้านอาจารย์เอเชีย ช่วงที่ผมกับนุ้กกำลังเดินบนสะพานลอยรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็ผ่านร้าน Saxophone ซึ่งก็เป็นผับดีๆ นี่เองแหละ

นุ้กชวนผมเป็นครั้งที่สอง (ซึ่งไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจำได้รึเปล่าว่านี่คืิอครั้งที่สอง) ว่าให้ลองมานั่งชิลล์ๆ ฟังเพลงแนวแจ๊ส สกา เร็กเก้ที่ผมชอบดูบ้าง...

ก็อืม...ก็เห็นตัวเองชัดขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ผมยึดถืออยู่เกี่ยวกับเรื่องนี้
ถ้าให้ไปคนเดียวก็คงต้องขอคิดดูก่อนนานๆ เพราะการไปเที่ยวผับ เทค ก็คือการทำสิ่งอกุศลดีๆ นี่เอง
การไปนั่งคนเดียวก็คงท้าทายดีสำหรับผม - ก็ถ้าต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกคนเดียว ผมจะเป็นคนละคนกับตอนที่ได้อยู่กับเพื่อนๆ หรือคนที่สนิทๆ โดยสิ้นเชิง จะเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ขี้อาย และไม่กล้าทำอะไรแตกต่างอย่างถึงที่สุด
ถ้าไปคนเดียว...จะทำยังไง สั่งอะไรบ้าง นั่งตรงไหน ถ้าไม่อยากกินเหล้า สั่งเครื่องดื่มอย่างอื่นแทนได้มั้ย ถ้าจะกินเหล้า จะสั่งยังไง มีอะไรบ้าง แล้วจะกินหมดมั้ย มีกับข้าวมั้ย มีอะไรบ้าง...มะเอา ไม่กล้าถาม กลัวโดนดูถูก โดนว่า

ก็ทำให้...ไม่กล้าที่จะไปคนเดียว
แต่ตอนนี้ก็มีความคิดที่จะไปคนเดียวขึ้นมาบ้างแล้วนะ...แต่...

การไปกับเพื่อนก็สนุกกว่าอยู่ดี อย่างน้อยก็ได้มีเพื่อนคุย และได้แสดงออกความเป็น "ฮัลเลย์" มากกว่าที่จะต้องเก็บกดเอาไว้
และที่สำคัญ ผมเองก็ให้ค่า "การไปเที่ยวด้วยกัน" ไว้ค่อนข้างสูง เพราะเห็นแล้วว่า สำหรับกลุ่มคนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน ไม่ใช่ชวน "ใครก็ได้" แต่จะชวนกันเฉพาะคนในกลุ่มจริงๆ
นั่นคือ ถ้าผมถูกชวน แปลว่าผมถูกนับรวมไปอยู่ในกลุ่มด้วย - นั่นแหละคือความคาดหวังสูงสุด

นั่นก็ทำให้หลายๆ ครั้งที่รู้ว่าเพื่อนๆ ไปดื่มกินกันโดยไม่ได้ชวน ผมจะมีความรู้สึก "น้อยใจ" ตามมาเสมอ
ไม่ใช่การน้อยใจโดยไปโทษคนอื่น - ก็เหมือนทุกที - คือโทษตัวเอง

เพราะเข้าใจดีว่า แต่ละคนก็มีเหตุผล มีที่มาที่ไปของแต่ละคนจริงๆ

ดังนั้น ประเด็นที่น้อยใจ มันคือการน้อยใจตัวเองว่า ทำตัวไม่ดีพอที่จะเป็นที่ยอมรับของคนอื่น ทำตัวไม่กลมกลืนกับคนอื่นมากพอที่จะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ และมากพอที่จะเป็นกลุ่มเดียวกันของใครต่อใคร

แม้จะต้องทำเรื่องที่อกุศลไปบ้าง แต่ก็ยอม ถ้ามันต้องแลกมากับการเป็นที่ยอมรับ

02 กันยายน, 2552

แลลักษณ์ลึงค์: ไยน่าตะลึงนัก?

นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychologist) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสามารถตอบคำถามได้แล้วว่า “ทำไมรูปร่างลึงค์จึงเป็นอย่างที่เห็น?”

โดยในขั้นแรก นักวิจัยได้ใช้หลักการให้เหตุผลแบบตรรกนิรนัย (logicodeduction) คือศึกษาเปรียบเทียบในเชิงมองย้อนกลับไปหาต้นตอของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสายวิวัฒนาการ แล้วสรุปออกมาว่าเพราะเหตุใด “สิ่งนั้น” จึงเป็น “เช่นนี้”?

ในที่นี้นักวิจัยได้ศึกษาเรื่องของรูปร่างลึงค์ จึงเปรียบเทียบลักษณะภายนอกของลึงค์ระหว่างมนุษย์กับไพรเมท (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกลิง เอป และมนุษย์ผู้แปล) อื่นๆ พบว่า ลึงค์มนุษย์ที่มีความยาวเฉลี่ย ๕ ๖ นิ้ว เส้นรอบวงเฉลี่ย ๕ นิ้วนั้น แม้แต่กับชิมแปนซีที่เป็นญาติใกล้ชิดกับเรามากที่สุดในเชิงวิวัฒนาการ ก็ยังมีขนาดที่เล็กกว่าของมนุษย์ และยิ่งถ้าเปรียบเทียบโดยคำนวณเรื่องของขนาดลำตัวและน้ำหนักเข้าไปด้วยแล้ว ขนาดลึงค์ของชิมแปนซีก็เล็กกว่าของมนุษย์ครึ่งหนึ่ง

นอกเหนือไปกว่านั้น ลึงค์ของมนุษย์ยังมีลักษณะอีกอย่างที่ญาติใกล้ชิดของเราไม่มี นั่นคือ บริเวณคอลึงค์ ซึ่งเป็นส่วนที่หัว (glans) มาเชื่อมกับลำลึงค์ (shaft) มีลักษณะคล้ายร่มเห็ด และมีเส้นสองสลึง (frenulum) คอยยึดอยู่ บริเวณคอลึงค์นั้นจะมีลักษณะเป็นสันหยักและแผ่กว้างออกไปรอบวง ทำให้บริเวณนี้มีเส้นรอบวงที่ใหญ่กว่าลำลึงค์ ลักษณะพิเศษที่พบได้แต่ในมนุษย์นี้ ทำให้นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการกลุ่มนี้เชื่อว่า ลักษณะพิเศษนี้น่าจะมีบทบาทสำคัญในเชิงวิวัฒนาการของมนุษย์

เคยมีการศึกษาก่อนหน้านี้ใช้เทคนิคการฉายภาพสั่นพ้องแม่เหล็ก (magnetic resonance imaging: MRI) ถ่ายภาพลักษณะการวางตัวของลึงค์ในช่องคลอดในขณะที่กำลังสอดใส่ พบว่าลึงค์จะขยายตัวและกินพื้นทั้งหมดของช่องคลอด และในบางท่วงท่า (เช่น ท่ามิชชันนารีผู้แปล) ลึงค์จะสามารถสอดใส่เข้าไปได้ลึกที่สุด จนชนปากมดลูกเลยทีเดียว และยังมีการศึกษาอีกชิ้นเกี่ยวกับการหลั่งน้ำกาม พบว่าผู้ชายจะสามารถขับน้ำกามออกมาได้ไกลถึง ๒ ฟุต ซึ่งต้องใช้แรงขับมหาศาล หากรวมผลการทดลอง ๒ ชิ้นเข้าด้วยกัน จะสรุปได้ผู้ชายถูกออกแบบมาเพื่อการหลั่งน้ำกามในช่องคลอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้

และในปีค.ศ. ๒๐๐๔ คณะวิจัยคณะนี้ได้ตั้งสมมติฐานเพิ่มเติมอีกว่า ขนาดและรูปร่างของลึงค์นอกจากจะมีเพื่อการหลั่งน้ำกามอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถชะน้ำกามของผู้ชายคนก่อนหน้าที่หลั่งอยู่ในช่องคลอดไม่ให้ตกค้างอยู่ในช่องคลอดได้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเป็นพ่อของลูกที่จะเกิดมานั่นเอง

คณะวิจัยได้ทดลองสมมติฐานนี้โดยอาศัยช่องคลอดเทียม น้ำกามเทียม และลึงค์เทียม ๓ อัน ลึงค์ทั้ง ๓ มีความยาวเท่ากัน ต่างกันที่ขนาดของสันหยักรอบคอ โดยมีความยาวเส้นรอบวงที่เกินมาจากลำลึงค์ ๐.๒, ๐.๑๒, และ ๐ นิ้ว (เป็นกลุ่มควบคุม คือไม่มีสันหยักรอบคอ) ตามลำดับ คณะวิจัยได้ใส่น้ำกามเทียมลงไปในช่องคลอดเทียม และใช้ลึงค์เทียมสอดใส่เข้าไป จากนั้นวัดปริมาณของน้ำกามที่เหลือภายในช่องคลอด ผลการทดลองเป็นตามที่คาด คือ ลึงค์เทียมที่มีสันหยักรอบคอสามารถชะล้างน้ำกามที่ตกค้างอยู่ออกมาได้มากกว่าลึงค์เทียมที่ไม่มีสันหยักรอบคออย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้น คณะวิจัยได้พิสูจน์ความลึกของการสอดใส่ต่อประสิทธิภาพของการชะน้ำกาม พบว่ายิ่งสอดใส่ลึงค์เทียมเข้าไปมากเท่าไหร่ ยิ่งชะน้ำกามออกมาได้มากเท่านั้น

การวิจัยระยะที่สอง คณะวิจัยได้ใช้แบบสอบถามพฤติกรรมของการมีเพศสัมพันธ์และการสอดใส่ในวัยรุ่นที่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย พบว่า วัยรุ่น (ทั้ง ๒ เพศ) ที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง เพศชายจะสอดใส่ลึกกว่า และด้วยจังหวะที่เร็วกว่า และคู่ครองที่ต้องแยกจากกันไปสักพักแล้วมาพบกันใหม่ จะมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงและเร่าร้อนมากกว่าคู่ครองที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยกันบ่อยๆ ผลของการตอบแบบสอบถามสามารถอุปมาและสรุปได้ว่า ด้วยความกลัวว่าคู่ครองของตนจะไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นในขณะที่ตนไม่ได้อยู่เฝ้า เมื่อกลับมาและมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครอง จึงใช้ลึงค์ในฐานะเครื่องมือชะน้ำกามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าปรกติ (ไม่ว่าจะด้วยจิตใต้สำนึก หรือจิตเหนือสำนึก)

นอกจากนี้ ผู้ชายทุกคนทราบดีว่าหลังจากหลั่งน้ำกามไปแล้ว กลไกทางสรีรวิทยาจะป้องกันไม่ให้ลึงค์กลับมาแข็งตัวใหม่ และการถึงจุดสุดยอดก็ช่วยทำให้หลับสบาย เหตุผลที่ธรรมชาติสรรค์สร้างผู้ชายให้ออกมาเป็นเช่นนี้ ก็เพียงเพราะไม่ต้องการให้มีเพศสัมพันธ์และเกิดการสอดใส่อีกครั้งโดยเร็ว ซึ่งคือการกวาดเอาน้ำกามของตนออกมานั่นเอง

จะเป็นไปได้ไหมที่ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์ด้วยอสุจิของผู้ชายที่เธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วย? แน่นอนว่าเป็นไปได้ ด้วยสถานการณ์จำลองต่อไปนี้

กล้าไปมีอะไรกับแก้วหลังจากที่เธอเพิ่งไปมีอะไรกับดำ น้ำกามของดำก็จะติดมากับลึงค์ของกล้าที่สอดใส่เข้าไปในช่องคลอดของแก้ว และถ้ากล้ายังไม่ได้ขริบหนังหุ้มปลายออก น้ำกามของดำจะถูกเก็บไว้ภายใต้หนังหุ้มปลาย จากนั้นกล้าก็ไปมีอะไรอีกครั้งกับหญิง ทำให้น้ำกามของดำมีโอกาสส่งผ่านเข้าไปในช่องคลอดของหญิงด้วย...

และแล้วหญิงก็ตั้งท้องด้วยอสุจิของดำ

---

แปลและเรียบเรียงจาก “Secrets of the Phallus: Why Is the Penis Shaped Like That?” นิตยสาร Scientific American เดือนเมษายน ๒๕๕๒

เข้าถึงออนไลน์ได้จาก http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=secrets-of-the-phallus