“เท่จัง”
carpe diem
Seize the day, boy, makes your live extraordinary!
04 พฤศจิกายน, 2563
งานการที่ไม่เท่
06 พฤษภาคม, 2555
นานเท่าไร ไม่มีลืม
วันนี้มีมีทติ้งกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมยันม.ต้น นัดกันที่ร้านเหล้าตามประสา ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ไปหรอก แต่ก็อยากไปเจอเพื่อนๆ และอยากไปเจอคนคนนึงมากเป็นพิเศษ
แล้วก็ได้เจอจริงๆ ด้วย
เธอยังรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม ยังน่ารักเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนป.1 จนถึงวันนี้ ยังยิ้มแล้วตาหยีเหมือนแมวเหมือนเดิม เห็นเธอแล้วทำให้ผมตื่นเต้นและอยากมองเธอต่อไปอีกนานๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
แม้การแต่งตัวจะเปลี่ยนไปตามวัย แต่สำหรับผม เธอก็ยังทำให้ผมรักได้เหมือนเดิม
ตอนแรกคิดว่าจะไม่ค่อยได้คุยกันซะแล้ว เพราะเรานั่งกันอยู่คนละมุมโต๊ะ ในร้านเหล้า หน้าเวที ตะโกนกรอกใส่หูกันยังไม่ค่อยจะได้ยินเลย เธอเป็นคนทักผมก่อน ถามผมว่าจะกินเหล้า ผมบอกอยากกินเหล้า แล้วเธอก็ชงเหล้าให้ผม
เป็นเหล้าที่ตั้งใจจิบมากเป็นพิเศษ เป็นเหล้าที่ "หวานขม" ได้สมกับความรู้สึกผมในตอนนั้นจริงๆ
สักพักเธอก็เดินเข้ามาหา มาถ่ายรูปด้วย มาชวนคุยนิดๆ หน่อยๆ ตามที่สถานการณ์และบรรยากาศจะเอื้ออำนวย เธอเอามือแตะบ่าผม (อาจจะเพื่อพยุงตัว?) อยู่หนึ่งถึงสองนาที
อยากเอื้อมมือไปทางด้านหลัง ไปจับมือเธอจัง แต่มันคงไม่ดี "ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่ดี" ผมย้ำกับตัวเองอย่างนั้น
จ้องมองเธอเนิ่นนาน พลันนึกย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ห้วงเวลาที่ผมเริ่มไม่มีสมาธิกับการเรียนเพราะเอาแต่นั่งมองเธอจากหลังห้องทุกคาบ ห้วงเวลาที่่รู้สึกโหวงๆ พิกลยามมีรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่มาคุยกับเธอ ชวนเธอคุย ชวนเธอเล่นบาส ห้วงเวลาที่ ผม แม้จะรู้ตัวว่าคงไม่มีหวัง แต่ก็ปรึกษาเพื่อนสนิทอยู่นานสองนานว่าจะเอื้อนเอ่ยคำในใจออกไปให้เธอรู้ดีไหม
แล้วก็นึกขำปนสมเพชตัวเองที่แกล้งเธอสารพัด พูดจาไม่ดีกับคนในครอบครัวของเธอ ทำตัวไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย หึ ก็คงจะจีบติดอยู่หรอกนะ
น่าแปลก เวลาผ่านไปสิบปี ผมเจอผู้คนใหม่ๆ มากมาย แต่ก็ยังมิวายไม่สามารถทำให้เธอเป็นเพื่อนธรรมดาๆ เหมือนคนอื่นๆ ได้ เธอยังคงเป็นคน "พิเศษ" สำหรับผม ยังอยากคุย อยากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ อยากรู้เรื่องแฟน อยากรู้ว่าเธอจะกลับบ้านยังไง เพราะบ้านเธอดูจะอยู่คนละทางกับคนอื่นๆ (แน่ล่ะ ผมยังจำวันที่ผมซื้อตุ๊กตาหมีแล้วเอาไปให้เธอถึงบ้านได้)
ยังนึกไปถึงว่า ในวันที่เธอได้สวมชุดเจ้าสาวเดินขึ้นเวทีไปกับคู่ชีวิต ผมจะยิ้มและร่วมแสดงความยินดีไปกับเธอได้อย่างเต็มที่ หรือผมจะยิ้มทั้งน้ำตา ที่ได้เห็นเธอมีความสุข และได้รู้ว่าชาตินี้เราคงไม่ใช่คู่กัน ได้รู้ว่าผมไม่ใช่ชายที่เธอตามหาไปพร้อมๆ กัน
จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเรียกว่า "รัก" ได้หรือเปล่า เพราะล่วงเลยมาจนเบญจเพสแล้ว ผมก็ยังไม่มีแฟน ยังไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึกของ "ความรักหวานซึ้ง" แบบคนที่เป็นแฟนเขามีกัน ความรู้สึกเท่าที่ผมบอกได้อย่างมั่นใจคือ ผมอยากเห็นเธอมีความสุข มากกว่าที่ผมอยากเห็นเพื่อนคนไหนๆ ของผมมีความสุข
น่าแปลก ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ต้องการจะให้เธอมาเป็นแฟน หรือตอบสนองต่อความรู้สึกที่ผมมีให้เธอ เราเคยคุยกันแล้ว และตกลงที่จะเป็นเพื่อนกัน และผมก็เข้าใจดี แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถลบความรู้สึกที่ผมเคยมีให้เธอเมื่อสิบปีที่แล้วได้ นานเท่าไหร่ไม่รู้กว่าผมจะลบเลือนความรู้สึกเหล่านั้นไป ผมรู้แต่ว่าผมดีใจและมีความสุข ที่อย่างน้อยตอนนี้เราก็ได้เป็นเพื่อนกัน อย่างน้อยเราก็ยังเคยรู้จักกัน และอย่างน้อยที่การมีอยู่ของตัวเธอ ทำให้ผมมีคุณค่า มีความหมาย และเคยทำให้ผมรู้ว่าอยากตื่นนอนขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่ออะไร
16 ธันวาคม, 2552
Reflection of the (Physically) Big Fish
02 พฤศจิกายน, 2552
เช้าวันหนึ่งวันนั้นวันหนึ่งวันนั้นแปดนาฬิกา
เราเองก็คิดถึงฮัลเลย์กับนิวเหมือนกัน อยากให้เรียนจบไวๆ จะได้มาโปกฮาด้วยกันอีก
26 ตุลาคม, 2552
Untweetened tweets I
16 ตุลาคม, 2552
Plan for 2nd Semester
25 กันยายน, 2552
บ่ายแห่งการเรียนรู้
1. ตอนนี้ผมเรียนวิชา SCID518 Generic Skills in Science Research ซึ่งจะมีหัวข้อ Fast Track in Science Databases ให้ได้ลงมือทำกันแบบ Hand-on Workshop แต่ด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร ทำให้ต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเรียนบ่ายนี้ กลุ่มที่สองเรียนพุธบ่ายหน้า
2. พี่ต๋อย เป็นชื่อที่ผมเรียกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลและเป็น TA ในรายวิชา SCID5xx ทั้งหลาย
3. พี่สา เป็นชื่อของพี่ที่เรียนป.เอก หลักสูตรพิษวิทยา ที่สนิทกัน
เอาล่ะ จบแล้ว
ต่อไปเป็นการคัดลอกเนื้อหาจากสมุดบันทึกการเดินทางของผมมาใส่ไว้ในนี้ล้วนๆ
---
ตอนนี้นั่งอยู่ในห้อง P114...ในใจกำลังครุกรุ่นไปด้วยความไม่พอใจ...กับการไม่มีที่นั่ง, กับความผิดหวังว่าจะได้นั่งเครื่องคอมพ์ 1 คน/เครื่อง (ก็เพราะจะได้ Tweet, เช็คเมล์. เข้าเว็บบอร์ดไปด้วยระหว่างเรียน...) จากนั้นก็ตามมาด้วยเหตุลและข้อ้อางต่างๆ นาๆ ที่โยนความผิด โยนความรับผิดชอบไปให้สิ่งอื่น เช่น บ่นว่าการจัดการไม่ดี, คนดูแลห่วย, ไม่เอาใจใส่เราเท่าที่ควร...บลาๆๆ จนสุดท้ายก็ต้องออกจากห้องไปเป็นการประชด ประท้วง และดื้อเงียบ ก็เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น...จะได้หาอะไรทำนอกจากมานั่งโกรธอยู่แบบนี้...ก็โอนะ...ได้ไปเจอน้องๆ ได้ไปเอาของให้อ.เอเชีย ก็ทำให้ลืมๆ ไปบ้าง...แต่พี่สาก็โทรเข้ามา ตามกลับไปเข้าเรียน...สุดท้ายก็เข้ามาในห้องอีกครั้ง ตามด้วยการนั่งลงไปกับพื้นอย่างไม่เกรงใจวิทยากรและอ.สรวง ตั้งใจว่าจะไม่เรียน...แต่ก็...
แต่พี่ต๋อยก็เข้ามา...ถามอย่างใจดี ใจเย็น และมีเมตตาว่า "จะเอาเก้าอีกปะ?" มันเหมือนไฟโทสะในใจมันดับลงไปหน่อยนึงน่ะ แล้วพี่ต๋อยก็เข้ามาคุยว่า รอบนี้มีคนจากรอบสองมาเรียนรอบนี้ด้วย...โอ...เราตัดสินคลาสนี้ไปนี่...เราตัดสินไปล่วงหน้าว่าคลาสนี้ไม่ควรมีเพราะ Resource ไม่เพียงพอต่อจำนวนนศ. และบลาๆๆ...ก็เพราะได้พี่ต๋อยแหละที่ทำให้คิดได้ และมองเห็นการตัดสินอันยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่งของเรา มองเห็นความไมรับผิดชอบต่อชีวิตและการเรียนรู้ของตัวเอง (จริงๆ อันนี้ยังไม่ชัดเท่าไหร่...)
ตราบจนชีวิตจะหาไม่ ก็คงต้องเรียนรู้ตัวเองกันต่อไป
20 กันยายน, 2552
ผิดหวังจากความคาดหวัง
05 กันยายน, 2552
เพื่อนเที่ยว
02 กันยายน, 2552
แลลักษณ์ลึงค์: ไยน่าตะลึงนัก?
นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychologist) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสามารถตอบคำถามได้แล้วว่า “ทำไมรูปร่างลึงค์จึงเป็นอย่างที่เห็น?”
โดยในขั้นแรก นักวิจัยได้ใช้หลักการให้เหตุผลแบบตรรกนิรนัย (logicodeduction) คือศึกษาเปรียบเทียบในเชิงมองย้อนกลับไปหาต้นตอของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสายวิวัฒนาการ แล้วสรุปออกมาว่าเพราะเหตุใด “สิ่งนั้น” จึงเป็น “เช่นนี้”?
ในที่นี้นักวิจัยได้ศึกษาเรื่องของรูปร่างลึงค์ จึงเปรียบเทียบลักษณะภายนอกของลึงค์ระหว่างมนุษย์กับไพรเมท (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกลิง เอป และมนุษย์ – ผู้แปล) อื่นๆ พบว่า ลึงค์มนุษย์ที่มีความยาวเฉลี่ย ๕ – ๖ นิ้ว เส้นรอบวงเฉลี่ย ๕ นิ้วนั้น แม้แต่กับชิมแปนซีที่เป็นญาติใกล้ชิดกับเรามากที่สุดในเชิงวิวัฒนาการ ก็ยังมีขนาดที่เล็กกว่าของมนุษย์ และยิ่งถ้าเปรียบเทียบโดยคำนวณเรื่องของขนาดลำตัวและน้ำหนักเข้าไปด้วยแล้ว ขนาดลึงค์ของชิมแปนซีก็เล็กกว่าของมนุษย์ครึ่งหนึ่ง
นอกเหนือไปกว่านั้น ลึงค์ของมนุษย์ยังมีลักษณะอีกอย่างที่ญาติใกล้ชิดของเราไม่มี นั่นคือ บริเวณคอลึงค์ ซึ่งเป็นส่วนที่หัว (glans) มาเชื่อมกับลำลึงค์ (shaft) มีลักษณะคล้ายร่มเห็ด และมีเส้นสองสลึง (frenulum) คอยยึดอยู่ บริเวณคอลึงค์นั้นจะมีลักษณะเป็นสันหยักและแผ่กว้างออกไปรอบวง ทำให้บริเวณนี้มีเส้นรอบวงที่ใหญ่กว่าลำลึงค์ ลักษณะพิเศษที่พบได้แต่ในมนุษย์นี้ ทำให้นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการกลุ่มนี้เชื่อว่า ลักษณะพิเศษนี้น่าจะมีบทบาทสำคัญในเชิงวิวัฒนาการของมนุษย์
เคยมีการศึกษาก่อนหน้านี้ใช้เทคนิคการฉายภาพสั่นพ้องแม่เหล็ก (magnetic resonance imaging: MRI) ถ่ายภาพลักษณะการวางตัวของลึงค์ในช่องคลอดในขณะที่กำลังสอดใส่ พบว่าลึงค์จะขยายตัวและกินพื้นทั้งหมดของช่องคลอด และในบางท่วงท่า (เช่น ท่ามิชชันนารี – ผู้แปล) ลึงค์จะสามารถสอดใส่เข้าไปได้ลึกที่สุด จนชนปากมดลูกเลยทีเดียว และยังมีการศึกษาอีกชิ้นเกี่ยวกับการหลั่งน้ำกาม พบว่าผู้ชายจะสามารถขับน้ำกามออกมาได้ไกลถึง ๒ ฟุต ซึ่งต้องใช้แรงขับมหาศาล หากรวมผลการทดลอง ๒ ชิ้นเข้าด้วยกัน จะสรุปได้ผู้ชายถูกออกแบบมาเพื่อการหลั่งน้ำกามในช่องคลอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
และในปีค.ศ. ๒๐๐๔ คณะวิจัยคณะนี้ได้ตั้งสมมติฐานเพิ่มเติมอีกว่า ขนาดและรูปร่างของลึงค์นอกจากจะมีเพื่อการหลั่งน้ำกามอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถชะน้ำกามของผู้ชายคนก่อนหน้าที่หลั่งอยู่ในช่องคลอดไม่ให้ตกค้างอยู่ในช่องคลอดได้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเป็นพ่อของลูกที่จะเกิดมานั่นเอง
คณะวิจัยได้ทดลองสมมติฐานนี้โดยอาศัยช่องคลอดเทียม น้ำกามเทียม และลึงค์เทียม ๓ อัน ลึงค์ทั้ง ๓ มีความยาวเท่ากัน ต่างกันที่ขนาดของสันหยักรอบคอ โดยมีความยาวเส้นรอบวงที่เกินมาจากลำลึงค์ ๐.๒, ๐.๑๒, และ ๐ นิ้ว (เป็นกลุ่มควบคุม คือไม่มีสันหยักรอบคอ) ตามลำดับ คณะวิจัยได้ใส่น้ำกามเทียมลงไปในช่องคลอดเทียม และใช้ลึงค์เทียมสอดใส่เข้าไป จากนั้นวัดปริมาณของน้ำกามที่เหลือภายในช่องคลอด ผลการทดลองเป็นตามที่คาด คือ ลึงค์เทียมที่มีสันหยักรอบคอสามารถชะล้างน้ำกามที่ตกค้างอยู่ออกมาได้มากกว่าลึงค์เทียมที่ไม่มีสันหยักรอบคออย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้น คณะวิจัยได้พิสูจน์ความลึกของการสอดใส่ต่อประสิทธิภาพของการชะน้ำกาม พบว่ายิ่งสอดใส่ลึงค์เทียมเข้าไปมากเท่าไหร่ ยิ่งชะน้ำกามออกมาได้มากเท่านั้น
การวิจัยระยะที่สอง คณะวิจัยได้ใช้แบบสอบถามพฤติกรรมของการมีเพศสัมพันธ์และการสอดใส่ในวัยรุ่นที่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย พบว่า วัยรุ่น (ทั้ง ๒ เพศ) ที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง เพศชายจะสอดใส่ลึกกว่า และด้วยจังหวะที่เร็วกว่า และคู่ครองที่ต้องแยกจากกันไปสักพักแล้วมาพบกันใหม่ จะมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงและเร่าร้อนมากกว่าคู่ครองที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยกันบ่อยๆ ผลของการตอบแบบสอบถามสามารถอุปมาและสรุปได้ว่า ด้วยความกลัวว่าคู่ครองของตนจะไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นในขณะที่ตนไม่ได้อยู่เฝ้า เมื่อกลับมาและมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครอง จึงใช้ลึงค์ในฐานะเครื่องมือชะน้ำกามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าปรกติ (ไม่ว่าจะด้วยจิตใต้สำนึก หรือจิตเหนือสำนึก)
นอกจากนี้ ผู้ชายทุกคนทราบดีว่าหลังจากหลั่งน้ำกามไปแล้ว กลไกทางสรีรวิทยาจะป้องกันไม่ให้ลึงค์กลับมาแข็งตัวใหม่ และการถึงจุดสุดยอดก็ช่วยทำให้หลับสบาย เหตุผลที่ธรรมชาติสรรค์สร้างผู้ชายให้ออกมาเป็นเช่นนี้ ก็เพียงเพราะไม่ต้องการให้มีเพศสัมพันธ์และเกิดการสอดใส่อีกครั้งโดยเร็ว ซึ่งคือการกวาดเอาน้ำกามของตนออกมานั่นเอง
จะเป็นไปได้ไหมที่ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์ด้วยอสุจิของผู้ชายที่เธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วย? – แน่นอนว่าเป็นไปได้ ด้วยสถานการณ์จำลองต่อไปนี้
กล้าไปมีอะไรกับแก้วหลังจากที่เธอเพิ่งไปมีอะไรกับดำ น้ำกามของดำก็จะติดมากับลึงค์ของกล้าที่สอดใส่เข้าไปในช่องคลอดของแก้ว และถ้ากล้ายังไม่ได้ขริบหนังหุ้มปลายออก น้ำกามของดำจะถูกเก็บไว้ภายใต้หนังหุ้มปลาย จากนั้นกล้าก็ไปมีอะไรอีกครั้งกับหญิง ทำให้น้ำกามของดำมีโอกาสส่งผ่านเข้าไปในช่องคลอดของหญิงด้วย...
และแล้วหญิงก็ตั้งท้องด้วยอสุจิของดำ
---
แปลและเรียบเรียงจาก “Secrets of the Phallus: Why Is the Penis Shaped Like That?” นิตยสาร Scientific American เดือนเมษายน ๒๕๕๒
เข้าถึงออนไลน์ได้จาก http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=secrets-of-the-phallus